'วรวิทย์ เจนธนากุล' ชนะ 'จักรกฤศฏิ์' แค่ 9 คะแนน รั้งตำแหน่ง 'นายกสภาวิชาชีพบัญชีคนใหม่' ขณะที่ผลเลือกตั้งกรรมการอื่นๆคะแนนสุด 'สูสี' มีผู้สมัคร 3 คน ได้คะแนนเท่ากัน จนประธานคกก.อำนวยการเลือกตั้งฯ ต้องจับฉลากเลือกผู้ชนะ ส่งผลให้คณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีชุดนี้ มีทั้งผู้สมัครจากทีมที่ 1 และทีม 2 ร่วมเป็นกรรมการฯ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีสมาชิกทั่วประเทศกว่า 8 หมื่นคน มีการจัดประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี 2563 เพื่อเลือกตั้งนายกสภาวิชาชีพบัญชี กรรมการซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งจากสมาชิกสามัญ และประธานคณะกรรมการวิชาชีพบัญชีแต่ละด้านของสภาวิชาชีพบัญชี
โดยปีนี้มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง 2 ทีม ได้แก่ ทีม 1 นำโดยนายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองปลัดกระทรวงการคลัง และนายกสภาวิชาชีพบัญชีคนปัจจุบัน ลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งนายกสภาวิชาชีพบัญชี และทีม 2 นำโดยนายวรวิทย์ เจนธนากุล กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ซึ่งเป็นอุปนายกคนที่สอง ในคณะกรรมการสภาวิชาชีพปัจจุบัน ลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งนายกสภาวิชาชีพบัญชี
สำหรับบรรยากาศการเลือกตั้งในวันนี้เป็นไปอย่างคึกคัก โดยตั้งแต่ช่วงเช้ามีสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชีนับพันคนเดินทางมายังสถานที่ลงคะแนน ซึ่งตั้งอยู่ที่ห้องประชุม BRIRAJ Hall 2 และเมื่อเปิดหีบเลือกตั้งในเวลา 10.00 น. ปรากฏว่าแถวเลือกตั้งทั้ง 24 แถวที่จัดไว้ มีสมาชิกยืนต่อคิวยาวตั้งแต่หน้าคูหาเลือกตั้งไปจนถึงกลาง Hall และมีการตั้งกล้องบันทึกภาพ ณ จุดหย่อนบัตรลงกล่องด้วย ส่วนบริเวณภายนอกห้องประชุม มีสมาชิกนับร้อยคนยืนพูดคุยกันอย่างคับคั่ง
(สมาชิกฯต่อแถวรอลงคะแนนเลือกตั้งคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี เมื่อวันที่ 22 ส.ค.63 ที่ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา)
ทั้งนี้ หลังเปิดให้สมาชิกลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว ในเวลาประมาณ 10.30 น. ทั้งนายจักรกฤศฏิ์ และนายวรวิทย์ ได้มาสังเกตการณ์อยู่นอกห้องลงคะแนน โดยนายจักรกฤศฏิ์ยืนสังเกตการณ์อยู่บริเวณกลาง Hall หน้าประชุม ส่วนนายวรวิทย์ ยืนอยู่บริเวณส่วนหน้าของ Hall หน้าห้องประชุม ซึ่งจุดที่ทั้งสองคนยืนอยู่นั้น ห่างกันไม่มากนัก และมีสมาชิกมาขอถ่ายรูปกับผู้สมัครนายกสภาวิชาชีพบัญชีทั้ง 2 คน เป็นระยะๆ พร้อมทั้งให้กำลังใจและขอให้ชนะการเลือกตั้ง
นายจักรกฤศฏิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ทั้ง 2 ทีมที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีครั้งนี้ ทุกคนแข่งขันกันเพื่อเข้ามาทำงาน ซึ่งการทำงานในสภาฯเป็นงานที่ต้องเสียสละ มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายก้าวต่อไป และสิ่งที่เราได้ทำในช่วงที่ผ่านมา คือ การดูแลกลุ่มธุรกิจตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก รวมทั้งการพยายามช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ซึ่งได้มีการผ่อนปรนเรื่องมาตรฐานต่างๆ แต่ไม่ทิ้งมาตรฐานบัญชีที่มีอยู่
นายจักรกฤศฏิ์ ยังกล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี ว่า มีอำนาจดูแลมาตรฐานบัญชีขอประเทศ ที่มีการประกาศใช้เป็นระยะๆ เช่น มาตรฐานบัญชี IFRS9 มาตรฐานฉบับที่ 15 เรื่องทรัพย์สินและหนี้สิน และการประกาศมาตรฐานบัญชีใหม่ๆ รวมทั้งมีอำนาจในการกำกับดูแลผู้สอบบัญชี การออกใบอนุญาตให้ผู้สอบบัญชี เป็นต้น และในอนาคตมีสิ่งที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะการจัดทำระบบเอสเอ็มอีบัญชีเดียวผ่านออนไลน์
“สิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไป และต้องทำให้สำเร็จ คือ เรื่องบัญชีเดียวผ่านระบบ ‘เอสเอ็มอี สบายใจ’ ซึ่งเป็นการทำบัญชีในระบบออนไลน์ เพื่อให้กลุ่มเอสเอ็มอีทำบัญชีได้ด้วยตัวเอง และนำบัญชีนี้ไปยื่นกรมสรรพากร กระทรวงพาณิชย์ได้ด้วย ตอนนี้ระบบได้ทำการทดสอบไปแล้ว และเรากำลังจะขึ้นระบบกับธนาคารกรุงไทย เพราะทางสภาฯไม่มีนักเทคนิคเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลใหญ่ จึงให้ธนาคารกรุงไทยเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาระบบนี้ให้เรา”
นอกจากนี้ สภาฯอยู่ระหว่างการผลักดันและพัฒนามาตรฐานบัญชีสำหรับเอสเอ็มอีขนาดจิ๋ว และบัญชีดังกล่าวสามารถนำไปยื่นภาษีกับกรมสรรพากรได้
เมื่อถามว่า ทราบหรือไม่ว่ามีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งว่า มีการเกณฑ์พนักงานบางบริษัทสมัครเป็นสมาชิกสภาฯ เพื่อลงคะแนนให้กับผู้บริหารบริษัทที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่า “เรื่องการเลือกตั้ง ผมไม่ได้ไปเน้นมาก แต่จะเน้นเรื่องการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ส่วนการคัดคนมา ทำอะไรมา เป็นสิ่งต่างคนต่างไปทำ แต่นโยบายของเรา คือ ไม่มีการซื้อเสียง ไม่มีการระดมคน ส่วนใครจะทำก็เป็นเรื่องของเขา
อย่างไรก็ตาม หากเขาสามารถดึงคะแนนเสียงอิสระ นักบัญชีอิสระเข้ามาเลือกตั้งได้เยอะเท่าไหร่ เขาจะเป็นตัดสินใจว่าจะเลือกใคร และถ้าเขาไปรวมกลุ่มกันมา ก็จะได้เฉพาะกลุ่มเขาที่ไปเลือกมา แต่ถ้าเราไปดูจำนวนคน ถ้ามีคนเข้ามาเลือกตั้งเป็นหมื่นคนขึ้นไป ผมว่าทีมเก่ามีโอกาสเยอะ เพราะเราไม่ได้ไประดมคนมา”
(จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล)
เมื่อถามว่าเป็นกังวลหรือไม่ กรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าบางคน บางกลุ่มอาจจะเข้ามาครอบงำการปรับปรุงมาตรฐานบัญชี นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่า “อันนี้เป็นเรื่องที่เรายังพูดไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ในการเข้ามาบริหารมีเจตจำนงอย่างไร แต่ถ้าเป็นทีมเดิม เรามีวัตถุประสงค์เพื่อส่วนรวม บาลานซ์การทำงาน บาลานซ์ผลประโยชน์ของกลุ่มใหญ่กับกลุ่มเล็กจริงๆ ทำให้ทุกคนมีต้นทุนในการทำบัญชีที่ถูกลง และมีความเสมอภาค”
เมื่อถามว่าหากได้รับเลือกตั้งเป็นนายกสภาวิชาชีพบัญชีจะมีการแยก ‘คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชี’ ให้เป็นอิสระจาก ‘คณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี’ หรือไม่ นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวยังเห็นว่าคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชีต้องอยู่กับสภาฯ แต่บุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการฯจะต้องมีความหลากหลาย ไม่กระจุกตัวอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ส่วนการคัดเลือกกรรมการฯดังกล่าว จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งมาเป็นผู้คัดเลือก
“ณ ปัจจุบัน เรายังคิดว่าคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชี ถ้าอยู่ในสภาวิชาชีพฯ เราดูแลได้ดีกว่า แต่การคัดเลือกคนเข้าไปเป็นคณะกรรมการฯ ต้องมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่กระจุกอยู่ในกลุ่มของบิ๊กโฟร์ หรือคนที่กำกับดูแลมากเกินไป ต้องมีนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิเข้าไปอยู่ตรงนี้ให้มากขึ้น อันนี้คือสิ่งที่เราจะต้องทำต่อไป หากได้รับเลือกตั้ง ทุกอย่างจะมีความหลากหลาย มีคุณภาพ ไม่เอนเอียงไปฝั่งไหน และดูภาพรวมของประเทศ”นายจักรกฤศฏิ์ระบุ
ด้านนายวรวิทย์ กล่าวว่า งานของสภาวิชาชีพบัญชีเป็นงานอาสา ไม่มีรายได้มากมายอะไร มีเพียงเบี้ยประชุมเดือนละ 1 ครั้งๆละ 1,800 บาท แม้มีรายได้จากสมาชิกคนละ 500 บาท แต่ต้องนำไปเป็นรายจ่ายต่างๆและเงินเดือนพนักงาน 90 คน และสภาฯนี้ไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่มีอำนาจออกใบอนุญาตอะไร จึงขอถามว่าตนเองจะมาครอบงำสภาวิชาชีพบัญชีเพื่ออะไร และผู้สมัครในทีมที่มาจากบริษัทใหญ่ๆ สรรพากร และอาจารย์จุฬาฯ เขาจะให้ตนครอบงำหรือไม่
“งานนี้เป็นงานอาสา และไม่ใช่งานที่สนุกเลย ถามว่าถ้าดี ทำไมลงแค่ 2 ทีม ถ้าเป็นอาหารโอชะอย่างที่เขาพูด คนอื่นไม่มีสายตามองเห็นเหรอ…ส่วนผู้สมัครในทีม 6 คน เขาจะให้ผมครอบงำเหรอ เขาขายความเป็นวิชาชีพ ไม่ได้ขายวิญญาณ ส่วนผมเองจะมาเสียคนตอนแก่ทำไม และที่บอกว่าบริษัทส่งคนมาครอบงำสภาฯ ถามว่าครอบงำทำไม เพราะบริษัทที่ผมอยู่ เป็นบริษัทใหญ่ข้ามชาติ ค้าขายเป็นล้านล้านบาทอยู่แล้ว เขายิ่งอยากได้ที่เป็นมาตรฐานสากล” นายวรวิทย์กล่าว
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการใช้อำนาจของคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีไปครอบงำการทำงานของคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชี ทำให้ทีม 2 ถูกโจมตีในประเด็นนี้ นายวรวิทย์ ระบุว่า คณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีคงไม่สามารถครอบงำการทำงานของคณะกรรมการมาตรฐานบัญชีฯได้ เพราะตามกลไกจะมีคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กบว.) ของกระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลอีกชั้นหนึ่ง
“เขามี กบว. ควบคุมอยู่ ผมเป็นเสียงเดียวในคณะนั้น และรับรองว่าคนที่ตั้งพ.ร.บ.วิชาชีพบัญชีฯมา ไม่มีใครซี้ซั้ว เขาเป็นนักบัญชี เขาตั้งกลไกคุมเข้มไว้หมด เหมือนผู้ทำบัญชี ที่ต้องมีผู้สอบบัญชีมาตรวจคนทำบัญชี ดังนั้น ข้อกล่าวหานั้น ไปเจาะลึกได้เลยว่าจริงหรือไม่จริง…และถ้าผมทำอะไรไม่ดี ผมเสี่ยงติดคุกนะ เพราะอำนาจตามพ.ร.บ.สภาวิชาชีพบัญชีฯ เป็นคำสั่งทางปกครอง ซี้ซั้วทำผิดติดคุกนะ ทำเป็นเล่นไป ผมจะมาติดคุกตอนแก่ ผมไม่เอาหรอก” นายวรวิทย์ระบุ
นายวรวิทย์ ยังกล่าวถึงสาเหตุที่ทีม 2 มีผู้สมัครที่มาจากบริษัทในเครือซีพี 4 คน เป็นเพราะว่า 2 ใน 4 คน เป็นผู้ที่ทำงานกับตนอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้การทำงานคล่องตัว ส่วนคนอื่นๆกว่าจะเซ็ตทีมได้ก็ไม่ง่าย เพราะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติ เช่น บางตำแหน่งต้องเคยทำงานด้านนั้นๆมาแล้ว 15 ปี บางคนทำ 15 ปี บอกว่าแก่แล้ว ไม่เอาแล้ว อย่างตำแหน่งเหรัญญิกและนายทะเบียน ไม่มีมาเลย ตนจึงต้องขอให้คนจากบริษัทฯลงสมัคร เพราะใกล้จะหมดเขตแล้วจะให้ไปหาคนที่ไหน
“เราอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ถึงวาระหมดอายุขัยเราก็ไป แต่สภาวิชาชีพบัญชีเป็นบ้านของคนที่ประกอบวิชาชีพ แต่การที่มาแข่งขันกัน อย่ากล่าวหากัน อย่ากล่าวอ้างใส่ความไม่จริงกัน ผมบอกกับทีมว่า ผมไม่โต้ตอบเลย เพราะเราจะเป็นผู้นำเราต้องอดทน และผมเชื่อว่าสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชีฯ เป็นปัญญาชน 100% ใช้วิจารณญาณเอาได้ ถ้าสมาชิกให้ความมั่นใจเราก็ทำ ไม่ให้ความมั่นใจเราก็ไม่ทำ ผมไม่มีอะไรเสียหาย ผมยังทำงานอยู่” นายวรวิทย์ระบุ
(วรวิทย์ เจนธนากุล)
นายวรวิทย์ กล่าวว่า หากได้รับเลือกเป็นนายกสภาวิชาชีพบัญชีฯ ตนจะใช้ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานในบริษัทใหญ่เข้ามาทำให้สภาฯที่ปัจจุบันดีอยู่แล้ว ดีขึ้นกว่าเดิม พร้อมกันนั้น จะมีการจัดหลักสูตรเพื่อเตรียมการให้สมาชิกสภาฯทั้งนักบัญชีและผู้สอบบัญชี มีความพร้อมสำหรับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในขณะนี้อาชีพนักบัญชีกำลังถูกดิสรัปชั่นจากเทคโนโลยี เราจะทำให้นักบัญชีของเราเป็นมากกว่านักบัญชี
“เราจะพัฒนาหลักสูตรการบัญชี โดยนพไอทีมาช่วย เช่น ต่อไปนักบัญชีจะไม่ใช่แค่นักบัญชี แต่เป็นนักวิเคราะห์ตัวเลขไปด้วย และเป็นคู่คิดกับนักบริหารธุรกิจ ผมพูดเสมอว่านักบัญชีไม่ใช่แค่คนจดแต้ม แต่ต้องวิเคราะห์ให้ดูว่าธุรกิจจะพัฒนาไปได้อย่างไร เราต้องเตรียมตัวเปลี่ยนแปลง และต่อไปถ้านักบัญชีต่างประเทศไหลมาแค่ไหน เราก็ไม่กลัว” นายวรวิทย์ย้ำ
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เมื่อปิดการลงคะแนนในเวลา 15.00 น. คณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้ง ย้ายหีบบัตรเลือกตั้งไปไว้ที่ BRIRAJ Hall 1 และกระจายไปยังจุดนับคะแนน 15 จุด และเริ่มนับคะแนนในเวลา 15.50 น. โดยผศ.แน่งน้อย ใจอ่อนน้อม ประธานคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งฯ กล่าวกับสำนักข่าวอิศราว่า การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี และได้เสียงสะท้อนจากสมาชิกว่าการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความรวดเร็วดี เพราะเรานำระบบไอทีมาใช้
“การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกมาลงคะแนนเสียงประมาณ 5,000 คน ซึ่งใกล้เคียงกับการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ซึ่งเดิมเราคิดว่าน่าจะมีคนมาลงคะแนนเป็นหมื่นคน เพราะสถานที่จัดการเลือกตั้งเป็นไบเทคบางนา ซึ่งเป็นพื้นที่ใหญ่และสะดวก แต่เมื่อถึงเวลาแล้วไม่ได้มาตามที่คาดไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานการณ์โควิดก็เป็นได้” ผศ.แน่งน้อยกล่าว
ส่วนกรณีที่ที่มีการร้องเรียนว่ามีการเกณฑ์พนักงานบริษัทฯบางแห่งมาสมัครเป็นสมาชิกสภาฯ เพื่อให้ลงคะแนนให้กับผู้บังคับบัญชาที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ผศ.แน่งน้อย กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งฯ แต่จะมีการส่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไปให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป
(ป้ายแสดงผลการนับคะแนน 1 จุดจากทั้งหมด 15 จุด)
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า หลังการรับคะแนนแล้วเสร็จเมื่อเวลาประมาณ 17.20 น. คณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งฯได้ประชุมกันเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง และเมื่อเวลา 19.50 น. ผศ.แน่งน้อย ได้ประกาศผลการเลือกตั้งปรากฎว่านายวรวิทย์ หัวหน้าทีม 2 ได้รับเลือกเป็นนายกสภาวิชาชีพบัญชี ชนะนายจักรกฤศฏิ์ไปเพียง 9 คะแนน โดยนายวรวิทย์ได้คะแนน 2,080 คะแนน ส่วนนายจักรกฤศฏิ์ได้ 2,071 คะแนน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนผลการเลือกตั้งกรรมการซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งจากสมาชิกสามัญ และประธานคณะกรรมการวิชาชีพบัญชีแต่ละด้านของสภาวิชาชีพบัญชี ปรากฎว่าผลคะแนนใกล้เคียงกันมาก และมีผู้รับสมัคร 3 ราย มีคะแนนเท่ากัน จึงต้องมีการจับฉลากเพื่อเลือกผู้ได้รับเลือกตั้ง 2 คน จาก 3 คน ทำให้ส่วนผสมของคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีชุดนี้ มีนายกสภาวิชาชีพบัญชีจากทีมที่ 1 และมีกรรมการอื่นๆจากทีมที่ 1 และ2 (อ่านภาพประกอบ)
สำหรับรายชื่อผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี ประกอบด้วย นายกสภาวิชาชีพบัญชี คือ นายวรวิทย์ (ทีม 1) ส่วนกรรมการซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งจากสมาชิกสามัญ 5 คน ได้แก่ นายฉัตรชัย วิไลรัตนสุวรรณ (ทีม 2) ,นายสุพจน์ สิงห์เสน่ห์ (ทีม 1) ,น.ส.ชวนา วิวัฒน์พนชาติ (ทีม 1) ,นายธีรชัย อรุณเรืองศิริเลิศ (ทีม 2) และนายปิยะพงศ์ แสงภัทราชัย (ทีม 2)
ส่วนประธานคณะกรรมการวิชาชีพบัญชีของสภาวิชาชีพบัญชี 6 ด้าน ได้แก่ ด้านบัญชี คือ นายพิชิต ลีละพันธ์เมธา (ทีม 2) ,ด้านการสอบบัญชี คือ นายวินิจ ศิลามงคล (ทีม 1) ,ด้านการบัญชีบริหาร คือ น.ส.ภัทรลดา สง่าแสง (ทีม 1) ,ด้านการวางระบบบัญชี คือ น.ส.เยาวลักษณ์ ชาติบัญชาชัย (ทีม 2) ,ด้านการบัญชีภาษีอากร คือ นายอนันต์ สิริแสงทักษิณ (ทีม 1) และด้านการศึกษาและเทคโนโลยีการบัญชี คือ นายศิลปพร ศรีจั่นเพชร (ทีม 1)
(ผศ.แน่งน้อย ใจอ่อนน้อม ประธานคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งฯ ประกาศผลเลือกตั้งคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี เมื่อวันที่ 22 ส.ค.63)
อ่านประกอบ :
ร้องกันวุ่น! เลือกตั้ง ‘นายก-กรรมการสภาวิชาชีพบัญชีฯ’ เดือด-จับตาผลประโยชน์ทับซ้อน
ไม่มีใครชี้นำ-ครอบงำ! ‘วรวิทย์’ ลั่นลงสมัครชิง ‘นายกสภาวิชาชีพบัญชี’ ไม่เกี่ยวซีพี
แข่งเดือด! ‘วรวิทย์ เจนธนากุล’ ตั้งทีมแข่ง ‘จักรกฤศฏิ์’ ชิงนายกสภาวิชาชีพบัญชี
บิ๊กซีพี ยันไม่เกี่ยว '88 การ์มองเต้' กิจการลูกสาว-แค่เช่าที่ทำรีสอร์ท บอกเลิกสัญญาแล้ว
ซีพี สนับสนุน เสื้อสะท้อนแสงให้ ตร.จราจร เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/