อิศรา' อัพเดตความเคลื่อนไหวสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า หรือโรคโควิดยอดสะสมทะลุ 21 ล. -'สหประชาชาติ' ห่วงเกิดความขัดแย้งรอบใหม่ วอนทั่วโลกร่วมมือ -'ฟาวซี่' ผอ.สถาบันโรคติดเชื้อฯ อเมริกาเตือน อาการหลังป่วยส่ออยู่อีกหลายสัปดาห์แม้ไม่มีเชื้อแล้ว-'บราซิล-เม็กซิโก-อาร์เจนติน่า' แห่ทำสัญญาผลิตวัคซีนกันโควิด - 'อังกฤษ'เจอผู้ติดเชื้อในโรงงานแซนด์วิช 292 ราย- 'ญี่ปุ่น-สิงคโปร์' บรรลุข้อตกลงเที่ยวบินระหว่างประเทศ เริ่มบิน ก.ย. นี้ ล่าสุด 'อัลจาซีร่า' ตีข่าว 'นักวิจัยไทย' ลงพื้นที่อุทยานไทรโยค จับค้างคาวหาต้นตอไวรัส
---------------------------
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัสหรือ โรคโควิด-19 ล่าสุด ว่า ในช่วงเช้าวันที่ 14 ส.ค. 2563 ตามเวลาประเทศไทย เว็บไซต์ World Meter ได้รายงานจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 21,052,252 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 254,698 ราย เสียชีวิต 752,380 ราย เป็นผู้เสียชีวิตรายใหม่ 5,974 ราย
ขณะที่องค์การสหประชาชาติ นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาติได้ออกมาเตือนถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ว่านอกจากการระบาดจะส่งผลกระทบในแง่ลบกับการต่อสู้กับความยากจน และการรักษาสันติภาพในภูมิภาคต่างๆทั่วโลกแล้ว
ยังพบว่ามีความเสี่ยงที่โรคระบาดจะเป็นปัจจัยทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งต่างๆทั่วโลกแย่ลงขึ้นไปอีก และอาจจะก่อความขัดแย้งใหม่ๆตามมา
นายอันโตนิโอยังได้กล่าวกับที่ประชุมสภาความมั่นคงสหประชาชาติว่าแม้ว่าจะมีหลายประเทศที่ยุติการต่อสู้ลงนับตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่สหประชาชาติได้เรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งทั่วโลกเพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด แต่ปรากฏว่า ณ เวลานี้ยังมีอีกหลายกลุ่มทั่วโลกที่ยังคงมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่ออีกฝ่าย และไม่ได้ตกลงที่จะลงนามในสัญญาการหยุดยิงเป็นการถาวร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
นายอันโตนิโอกล่าวต่อว่าจากโรคระบาดนั้นมีการตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพ การให้บริการมนุษย์ ของรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ดังนั้นจากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นหมายความว่าประเทศทั้งหลายจะต้องมีความยึดมั่นในหลักการเพื่อสันติภาพให้มากขึ้นไปอีก ในการร่วมมือขวัดความไม่เท่าเทียม ความยากจนทั่วโลก ความไม่มั่นคงต่างๆ และความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นเวลาหลายปี
สำหรับสถานการณ์ใน ทวีปอเมริกาเหนือ สหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสม และผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุดในโลก จำนวนผู้ติดเชื้อล่าสุดอยู่ที่ 5,411,451 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 51,149 ราย เสียชีวิต 170,271 ราย เป็นผู้เสียชีวิตรายใหม่ 1,140 ราย
โดยรัฐที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดในสหรัฐฯ คือ รัฐเท็กซัส มีผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งสิ้น 7,004 ราย
ขณะที่ ของ นพ.แอนโทนี่ ฟาวซี่ ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ของสหรัฐฯ หนึ่งในคณะทำงานพิเศษเพื่อต่อต้านโรคระบาดของทำเนียบขาวกล่าวถึงขั้นตอนการฟื้นตัวของร่างกายจากไวรัสโควิด 19 ว่า เป็นอะไรที่ก่อความระคายเคืองเป็นอย่างยิ่ง เพาะจากการเฝ้าจับตาดูผู้ที่หายป่วยจากไวรัสโควิด 19 หลายรายพบว่า ผู้ที่หายป่วยนั้นมีอาการอ่อนแอ เหนื่อยง่าย มีภาวะร่างกายอ่อนแรง โดยอาการเหล่านี้จะอยู่เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์
“อาการเหล่านี้เป็นอาการเรื้อรังที่เกิดขึ้นกับร่างกาย แม้ว่าจะไม่มีไวรัสโควิด 19 หลงเหลืออยู่แล้ว ซึ่งเราคิดว่าที่ไปที่มาของอาการเหล่านี้น่าจะมาจากภาวะการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย” นพ.ฟาวซี่กล่าว
ส่วนสถานการณ์ที่ประเทศเม็กซิโก มีผู้ติดเชื้อสะสม498,380 ราย ติดเชื้อใหม่ 5,858 ราย เสียชีวิต 54,666 ราย เป็นผู้เสียชีวิตรายใหม่ 737 ราย
ทวีปอเมริกาใต้บราซิล มียอดผู้ติดเชื้อสะสมอันดับ 1 ของทวีปและเป็นอันดับ 2 ของโลก จำนวนผู้ติดเชื้อมีทั้งสิ้น 3,224,876 ราย ติดเชื้อใหม่ 54,402 ราย เสียชีวิต 105,463 ราย เสียชีวิตใหม่ 1,200ราย ทำให้บราซิลกลับมาเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตรายวันสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่รัฐพาราน่าของประเทศบราซิล ได้เซ็นสัญญาข้อตกลงกับประเทศรัสเซียเพื่อจะส่งมอบวัคซีนให้กับทางรัฐพาราน่าเพื่อจะใช้ในการทดลองรักษาระยะที่ 3 หรือการทดลองรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่จะมีการผลิตวัคซีนในรัฐแห่งนี้ ซึ่งตามกำหนดการแล้วคาดว่ารัฐพาราน่าน่าจะเริ่มกระบวนการผลิตวัคซีนได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564
ส่วนความเคลื่อนไหวอื่นๆในทวีปอเมริกาใต้นั้นมีรายงานว่า บริษัทแอสตร้าเซนเนก้าของอังกฤษได้ทำสัญญากับประเทศอาร์เจนติน่าและประเทศเม็กซิโก โดยทั้ง 2 ประเทศนั้นจะเป็นโรงงานผลิตวัคซีนที่สำคัญให้กับพื้นที่ส่วนใหญ่ของละตินอเมริกา
โดยนายอัลเบอร์โต เฟอร์นันเดซ ประธานาธิบดีอาร์เจนติน่ากล่าวว่าในรายละเอียดสัญญานั้นยังครอบคลุมไปถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และบริษัท mABxience เพื่อที่ประเทศอาร์เจนตาน่าจะสามารถผลิตวัคซีนจำนวน 150 ล้านโดส เพื่อกระจายวัคซีนไปยังประเทศต่างๆทั่วภูมิภาคละตินอเมริกา ยกเว้นที่ประเทศบราซิล
ขณะที่ทายมาร์เซโล เออร์แบรด รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโกกล่าวในทวิตเตอร์ว่าคาดว่าจำนวนการผลิตวัคซีนตามสัญญาจะขยายถึง 250 ล้านโดส
ทวีปยุโรป ประเทศรัสเซีย มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 907,758 ราย ติดเชื้อใหม่ 5,057 ราย เสียชีวิต 15,384 ราย เป็นผู้เสียชีวิตรายใหม่ 124 ราย
ส่วนที่ประเทศอังกฤษมีรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่จำนวนอย่างน้อย 292 ราย ในโรงงานกรีนคอร์ นอร์ทแธมป์ตัน โดยเป็นโรงงานทำแซนด์วิชให้กับบริษัท M&S มาร์คแอนด์สเปนเซอร์
ทำให้ ณ เวลานี้ ทางการเมืองนอร์ทแธมป์ตันได้ติดตามตัวผู้ที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงครอบครัวผู้ติดเชื้อ เพื่อจะขอให้ดำเนินตามมาตรการป้องกันการติดโรคต่อไป โดยหวังว่าทางเมืองจะไม่ประกาศมาตรการปิดเมือง และต้องขอความช่วยเหลอจากรัฐบาลกลางให้เข้ามาควบคุมรติดเชื้อ
อ้างอิงวิดีโอจากเดลี่ นิวส์ 24
สำหรับสถานการณ์ทวีปเอเชีย อินเดียยังคงมีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับ 1 ของทวีป มีผู้ติดเชื้อสะสม 2,459,613 ราย ติดเชื้อใหม่ 64,142 ราย เสียชีวิตสะสม 48,144 ราย เสียชีวิตใหม่ 1,006 ราย จึงทำให้ ณ เวลานี้อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ส่วนที่ประเทศจีน มีผู้ติดเชื้อใหม่ 19 ราย เป็นการระบาดจากต่างประเทศจำนวน 11 ราย และอีก 8 ราย เป็นการระบาดในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
ขณะที่ เขตปกครองพิเศษฮ่องกง มีผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม 69 ราย และเสียชีวิต 2 ราย
ที่ประเทศญี่ปุ่น มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่จำนวน 1,176 ราย เสียชีวิตใหม่ 5 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งหมด 206 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในกรุงโตเกียว
ส่วนสถานการณ์อื่นๆในประเทศญี่ปุ่นนั้นล่าสุดมีรายงานว่าประเทศญี่ปุ่นได้บรรลุข้อตกลงกับประเทศสิงคโปร์ในการลดระดับการห้ามเที่ยวบิน โดยมาตรการผ่อนปรนนั้นจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นไป ซึ่งรายละเอียดของมาตรการนั้นจะเป็นการอนุญาตให้ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศด้วยจุดประสงค์ทางธุรกิจสามารถบินเข้าประเทศได้โดยผ่านมาตรการป้องกันการติดเชื้อ
โดยขณะนี้ประเทศสิงคโปร์มีผู้ติดเชื้อใหม่ 102 ราย
สำหรับสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ประเทศฟิลิปปินส์ มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด 147,526 ราย ติดเชื้อใหม่ 4,002 ราย เสียชีวิตสะสม 2,426 ราย เสียชีวิตใหม่ 23 ราย
ที่อินโดนีเซีย มีผู้ติดเสียชีวิตสะสมสูงสุด 5,968 ราย เสียชีวิตใหม่ 65 ราย ทำให้อินโดนีเซีย ยังคงเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตรายวันและผู้เสียชีวิตสะสมสูงที่สุดในอาเซียน
ส่วนประเทศเพื่อนบ้านของไทย ประเทศมาเลเซีย มีผู้ติดเชื้อใหม่ 15 ราย กัมพูชามีผู้ติดเชื้อ 4 ราย พม่ามีผู้ติดเชื้อ 8 รายและเวียดนามมีผู้ติดเชื้อใหม่ 28 รายและเสียชีวิต 4 ราย
ขณะที่สำนักข่าวอัลจาซีร่าได้ทำข่าวเกี่ยวกับประเทศไทยกับสถานการณ์ไวรัสโควิด 19 เพิ่มเติมโดยระบุว่านักวิจัยจากประเทศไทยได้ลงพื้นที่เพื่อจะจับ และตรวจสอบดีเอ็นเอในถ้ำค้างคาว ในอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี เพื่อจะติดตามต้นกำเนิดของไวรัสโควิด 19 ที่แท้จริง
รายงานข่าวระบุต่อไปว่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่พบในธรรมชาติ พบแหล่งที่มาที่ใกล้เคียงที่สุดในค้างคาวเกือกม้า ซึ่งประเทศไทยมีค้างคาวเกือกม้าจำนวน 19 สายพันธุ์
โดย น.ส.สุภาภรณ์ วัชรพฤกษาดี นักวิจัยศูนย์วิจัยโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในฐานะหัวหน้าทีมที่ลงพื้นที่ได้กล่าวว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ทีมนักวิจัยจะเจอต้นตอของไวรัสโควิด 19 จากค้างคาวในประเทศไทย
“โรคระบาดนี้เป็นโรคที่ไร้พรมแดน ซึ่งสามารถเดินทางไปได้กับค้างคาว จึงหมายความว่ามันสามารถไปที่ไหนก็ได้” น.ส.สุภาภรณ์กล่าว
อ้างอิงรูปภาพจากอัลจาซีร่า
ทวีปแอฟริกาประเทศแอฟริกาใต้ ยังเป็นประเทศที่ติดเชื้ออันดับ 1 ในทวีป มีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 572,865 ราย ติดเชื้อใหม่ 3,946 ราย เสียชีวิต 11,270 ราย เสียชีวิตรายใหม่ 260 ราย
ส่วนความเคลื่อนไหวใน ภูมิภาคโอเชียเนีย ออสเตรเลีย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 292 ราย และมีผู้เสียชีวิตใหม่อีก 21 ราย เป็นผู้ติดเชื้อใหม่ในรัฐวิกตอเรีย 278ราย และในรัฐนิวเซาท์เวลส์ 9 ราย
ส่วนนิวซีแลนด์มีผู้ติดเชื้อใหม่ 10 ราย
เรียบเรียงจาก:https://www.aljazeera.com/topics/events/coronavirus-outbreak.html,https://www.worldometers.info/coronavirus/,https://www.theguardian.com/world/coronavirus-outbreak
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage