'อิศรา' อัพเดตความเคลื่อนไหวสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า หรือโรคโควิดสะสมล่าสุด 19.8 ล. ตาย 7.2 แสน -'สหรัฐฯ'ยอดติดเชื้อทะลุ 5 ล้าน 'ทรัมป์' เซ็นคำสั่งช่วยคนตกงานไม่ผ่านรัฐสภา หัวละ 12,490 บ. ยาวถึงปี 64 - 'บราซิล' ยอดตายเกินแสน -แอฟริกาใต้พุ่งทะลุหมื่น -'ญี่ปุ่น' เล็งใช้จำนวนเตียงแพทย์กำหนดหลักเกณฑ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน-'อินโดฯ'เล็งทดลองวัคซีนโควิด 11 ส.ค.นี้
........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัสหรือ โรคโควิด-19 ล่าสุด ว่า ในช่วงเช้าวันที่ 9 ส.ค. 2563 ตามเวลาประเทศไทย เว็บไซต์ World Meter ได้รายงานจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 19,800,836 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 249,575 ราย เสียชีวิต 728,462 ราย เป็นผู้เสียชีวิตรายใหม่ 5,278 ราย
สำหรับสถานการณ์ใน ทวีปอเมริกาเหนือ สหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสม และผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุดในโลก จำนวนผู้ติดเชื้อล่าสุดอยู่ที่ 5,147,408 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 51,884 ราย เสียชีวิต 165,037 ราย เป็นผู้เสียชีวิตรายใหม่ 943 ราย ทำให้สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้เสียชีวิตรายวันสูงที่สุดในโลก
โดยรัฐที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดในสหรัฐฯ คือ รัฐฟลอริดา มีผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งสิ้น 8,502 ราย
ทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เซ็นอนุมัติคำสั่งผู้บริหารเพื่อจะให้การสนับสนุนเงินช่วยเหลือแก่ผู้ที่ตกงานทั่วประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีจำนวนนับสิบล้านคนทั่วประเทศ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,490 บาท) ต่อหัวต่อสัปดาห์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้เงินช่วยเหลือผู้ตกงานไปแล้วในช่วงแรกของการระบาดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,735 บาท) ต่อหัวต่อสัปดาห์
โดยนายทรัมป์ กล่าวว่า การช่วยเหลือแรงงานดังกล่าวนั้นจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงปี 2564
อย่างไรก็ตาม การเซ็นคำสั่งดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ทำเนียบขาว ล้มเหลวในการเจรจากับสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีเสียงส่วนมากเป็น ส.ส.จากพรรคเดโมแครต ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในประเด็นเรื่องการออกมาตรการการช่วยเหลือผู้ตกงานจากไวรัสโควิด 19
ทำให้ ณ เวลานี้ เกิดข้อกังขาทางกฎหมายตามมาเนื่องจากรัฐธรรมนูญสหรัฐฯนั้นให้อำนาจรัฐสภาเป็นผู้ที่จะต้องเห็นชอบและอนุมัติการใช้จ่ายงบของรัฐบาล
ส่วนสถานการณ์ที่ประเทศเม็กซิโก มีผู้ติดเชื้อสะสม 469,407 ราย ติดเชื้อใหม่ 6,717 ราย เสียชีวิต 51,311 ราย เป็นผู้เสียชีวิตรายใหม่ 794 ราย
ทวีปอเมริกาใต้ บราซิล มียอดผู้ติดเชื้อสะสมอันดับ 1 ของทวีปและเป็นอันดับ 2 ของโลก จำนวนผู้ติดเชื้อมีทั้งสิ้น 3,013,369 ราย ติดเชื้อใหม่ 46,305 ราย เสียชีวิต 100,543 ราย เสียชีวิตใหม่ 841 ราย
ทวีปยุโรป ประเทศรัสเซีย มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 882,347 ราย ติดเชื้อใหม่ 5,212 ราย เสียชีวิต 14,854 ราย เป็นผู้เสียชีวิตรายใหม่ 129 ราย
ทวีปเอเชีย อินเดียยังคงมีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับ 1 ของทวีป มีผู้ติดเชื้อสะสม 2,152,020 ราย ติดเชื้อใหม่ 65,156 ราย เสียชีวิตสะสม 43,453 ราย เสียชีวิตใหม่ 875 ราย
ส่วนที่ประเทศจีนมีผู้ติดเชื้อใหม่ 31 ราย เป็นการระบาดจากต่างประเทศจำนวน 6 ราย และอีก 25ราย เป็นการระบาดในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
ขณะที่ เขตปกครองพิเศษฮ่องกง มีผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม 69 ราย และเสียชีวิต 1 ราย
ที่ประเทศญี่ปุ่น มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่จำนวน 1,570 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งหมด 429 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในกรุงโตเกียว
ส่วนความเคลื่อนไหวอื่นๆ ในประเทศญี่ปุ่น มีรายงานว่า นพ.ชิเงรู โอมิ หัวหน้าทีมรับมือโรคระบาดของรัฐบาล เตรียมจะเสนอรัฐบาลเกี่ยวกับแนวทางการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโดยให้ยึดเอาตัวเลขของจำนวนเตียงแพทย์ที่ว่างในโรงพยาบาลเป็นปัจจัยหลัก ในการประเมินเพื่อกำหนดการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศญี่ปุ่น
นพ.ชิเงรุ กล่าวต่อว่า ทางคณะอนุกรรมการยังได้มีการเสนอให้วัดความร้ายแรงของสถานกรณ์ออกเป็น 4 ระดับ และใช้ 6 เกณฑ์เป็นตัววัดความร้ายแรงของสถานการณ์
โดย 6 เกณฑ์ในการประเมินนั้นเป็นหลักการเดียวกับที่รัฐบาลท้องถิ่นได้นำมาใช้ในการประเมินความร้ายแรงของสถานการณ์โควิด 19 ประกอบไปด้วย 1. จำนวนผู้ป่วยใหม่และผู้ที่มีโอกาสจะแพร่เชื้อ 2. อัตราการเปรียบเทียบผู้ที่ติดเชื้อใหม่ระหว่างสัปดาห์นี้และสัปดาห์ก่อนหน้า 3.อัตราผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันจากการตรวจหาโรคโควิด 19 ในห้องแลปหรือ PCR 4. จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ซึ่งได้รับการยืนยัน 5. จำนวนสัดส่วนของการติดเชื้ออันไม่ทราบที่มา และ 6.จำนวนเตียงแพทย์ที่ยังเหลือในโรงพยาบาล
นพ.ชิเงรุ กล่าวต่อด้วยว่า ถ้าหากสถานการณ์มีความเลวร้ายถึงระดับที่ 4 ซึ่งก็คือการที่มีจำนวนเตียงแพทย์เหลืออยู่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่จะใช้รองรับผู้ป่วยโควิด 19 และมีการระบาดจำนวนมากจนมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ก็ควรที่จะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามมา
นพ.ชิเงรู โอมิ หัวหน้าทีมรับมือโรคระบาดของรัฐบาลญี่ปุ่น (อ้างอิงรูปภาพจากเจแปนไทม์)
สำหรับสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ประเทศฟิลิปปินส์ มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด 126,885 ราย ติดเชื้อใหม่ 4,131 ราย เสียชีวิตสะสม 2,209 ราย เสียชีวิตใหม่ 41 ราย
ที่อินโดนีเซีย มีผู้ติดเสียชีวิตสะสมสูงสุด 5,658 ราย เสียชีวิตใหม่ 65 ราย ทำให้อินโดนีเซีย ยังคงเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตสะสม และผู้เสียชีวิตรายวันสูงที่สุดในอาเซียน
ล่าสุด มีรายงานว่าในวันที่ 11 ส.ค.ที่จะถึงนี้ ประเทศอินโดนีเซีย จะเริ่มมีการทดลองวัคซีนรักษาโควิด 19 ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทสัญชาติจีนชื่อว่าซีโน่แว็คไบโอเท็ค (Sinovac Biotech) โดยจะเป็นการทดลองในระยะ 3 หรือระยะทดลองอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งทีมนักวิทยาศาสตร์อินโดนีเซียตั้งเป้าว่าจะมีผู้เป็นอาสาสมัครเข้ารับการทดลองการรักษาจำนวน 1,620 ราย โดยจะเปิดรับสมัครจนถึงวันที่ 31 ส.ค. ซึ่งขณะนี้มีผู้สมัครเป็นอาสาสมัครแล้วอย่างน้อย 800 ราย
ส่วนประเทศเพื่อนบ้านของไทย นั้น ประเทศมาเลเซีย มีผู้ติดเชื้อใหม่ 7 ราย กัมพูชามีผู้ติดเชื้อ 3 ราย และเวียดนามมีผู้ติดเชื้อใหม่ 21 ราย
ทวีปแอฟริกาประเทศแอฟริกาใต้ ยังเป็นประเทศที่ติดเชื้ออันดับ 1 ในทวีป มีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 553,188 ราย ติดเชื้อใหม่ 7,712 ราย เสียชีวิต 10,210 ราย เสียชีวิตรายใหม่ 301 ราย
ส่วนความเคลื่อนไหวใน ภูมิภาคโอเชียเนีย ออสเตรเลีย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 475 ราย และมีผู้เสียชีวิตใหม่อีก 12 ราย เป็นผู้ติดเชื้อใหม่ในรัฐวิกตอเรีย 466 ราย และในรัฐนิวเซาท์เวลส์ 9 ราย
เรียบเรียงจาก:https://www.aljazeera.com/topics/events/coronavirus-outbreak.html,https://www.worldometers.info/coronavirus/,https://www.theguardian.com/world/coronavirus-outbreak
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage