‘นักวิชาการทีดีอาร์ไอ’ ประเมินหากไวรัสโควิด-19 ลากยาว 6 เดือนถึง 1 ปี จะทำให้รายได้คนไทยกลุ่ม 40% ล่างหายไป 30% และทำให้คนจนพุ่งขึ้นเป็นเกือบ 19 ล้านคน จากเดิม 6.68 ล้านคน แนะรัฐปรับเกณฑ์แจกเงินเดือนละ 5,000 บาท โดยใช้เกณฑ์การถือครอง ‘ทรัพย์สิน’ ไม่ใช่พิจารณาจากฐาน ‘อาชีพ’
ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) โดยประเมินว่า หากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ลากยาวไปอีก 6 เดือนถึง 1 ปี มีความเป็นไปว่าสัดส่วนคนจนในประเทศไทยจะเพิ่มเป็น 28.4% ของประชากรทั้งหมด จากปี 2561 ที่มีสัดส่วนคนจน 9.9% หรือมีจำนวนคนจนเพิ่มเป็น 18.9 ล้านคน จากปี 2561 ที่มีจำนวน 6.68 ล้านคน
ทั้งนี้ การประเมินสัดส่วนคนจนดังกล่าวอ้างอิงจากฐานข้อมูลรายได้ และการกระจายตัวของรายได้ประชากรไทยในปี 2561 ซึ่งคาดว่าจะใกล้เคียงกับข้อมูลปี 2562 ที่จะออกมาในเดือนหน้า เนื่องจากในปี 2562 ที่ผ่านมารายได้ของกลุ่มคนที่มีรายได้ 40% ล่างของประเทศไม่ค่อยขยับจากปี 2561 เท่าใดนัก โดยหากรายได้ของคน 40% ล่างของประเทศ หายไป 10-30% สัดส่วนคนจนจะเพิ่มเป็น 14.3-28.4% ของประชากรทั้งหมด หรือมีจำนวนคนจนเพิ่มเป็น 9.5-18.9 ล้านคน
“ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าคนรายได้หายไปจริงๆเท่าไหร่ และในความเป็นจริงต้องดูด้วยว่าผลกระทบจาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดจะลากยาวแค่ไหน หากลากยาวมากๆ เช่น 6 เดือนถึง 1 ปี หรือลากไปถึงต้นปีหน้า รายได้ของคนกลุ่มคน 40% ล่าง จะตกไปถึง 30% แน่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว สัดส่วนคนจนในประเทศจะเพิ่มเป็น 28% ของประชากรทั้งหมด 66.5 ล้านคน หรือคิดเป็นคนจน 18.9 ล้านคน” ดร.สมชัยกล่าว
ขณะเดียวกัน สัดส่วนคนจนที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังกล่าว ยังทำให้ผลงานในการลดความยากจนของประเทศไทยในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา หายวับไปในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน
ดร.สมชัย ยังกล่าวถึงการแจกเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ว่า วิธีการแจกเงินของรัฐบาลมีปัญหามาก เพราะบางอาชีพได้เงิน บางอาชีพไม่ได้เงิน ขณะที่การนำระบบ AI มาใช้ในการคัดกรองว่าใครควรได้รับเงินเยียวยาก็พบว่ามีปัญหามาก ทำให้คนที่เดือนร้อนจริงๆและสมควรได้รับเงินเยียวยาต้องตกหล่นไป ดังนั้น จึงไม่ควรใช้อาชีพเป็นเกณฑ์คัดกรอง แต่ใช้เกณฑ์ของการถือครองที่ดินและทรัพย์สินจะมีความเหมาะสมกว่า
“อย่าไปตั้งโจทย์ว่าใครได้รับผลกระทบจากโควิดโดยตรง เพราะคนถูกกระทบทางอ้อมมีเยอะไปหมด จากนั้นก็มาดูว่าใครบ้างที่มีฐานะดี โดยใช้วิธีคัดกรองแบบเดียวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คือ ใช้ข้อมูลการถือครองที่ดิน บ้าน รถยนต์ และบัญชีเงินฝาก แล้วแยกคนรวยหรือคนที่อยู่ในครอบครัวที่รวยออก หรือหากรัฐบาลจะใช้เกณฑ์ว่าใครที่มีบ้านและที่ดินเกิน 3 ล้านบาท จะไม่ได้เงินเยียวยา ก็จะทำให้มีคนที่ได้เงินเยียวยา 8-9 ล้านคนตามเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้” ดร.สมชัยกล่าว
ส่วนแจกเงินเยียวยาเกษตรกรเดือนละ 5,000 บาท ดร.สมชัย เสนอว่า ควรใช้เกณฑ์การถือครองที่ดินมาคัดกรอง เช่น เกษตรกรบางรายมีที่ดินเป็นร้อยไร่ไม่ควรจะมีสิทธิ์ เพราะไม่ได้ลำบากจริงๆ และเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรที่มีที่ดินไม่มาก ไม่มีที่ดินหรือต้องเช่าที่ดินทำกิน ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงการคลังใช้วิธีการว่าต้องหาคนจนให้เจอ หาคนที่ถูกกระทบจากโควิดให้เจอ ซึ่งเป็นกระบวนการซับซ้อนมาก แต่มีวิธีที่ง่ายกว่า คือ หาคนรวยให้เจอแล้วคัดกรองออกไปน่าจะดีกว่า
“ถ้าวิธีนี้จะทำให้คนรวยที่มีที่ดินและมีทรัพย์สินมากไม่ได้เข้ามา และไม่มีภาพของการตกหล่น ซึ่งตอนนี้คนที่ตกหล่นมีเยอะไปหมด เช่น คนหาปลาในภาคใต้ หรือบางคนถูกเลิกจ้างและไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม พอไปลงทะเบียน แต่ AI คัดกรองท่าไหนไม่รู้ ทำให้เขาไม่สิทธิ์ได้รับเงินเยียวยา จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ เพราะบางจังหวัดปิดเมือง เงินหมดกระเป๋า เงินเยียวยาก็ไม่ได้ รัฐบาลตั้งชื่อกันหรูว่าเราไม่ทิ้งกัน แต่ทิ้งกันไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้” ดร.สมชัยกล่าว
ก่อนหน้านี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า สถานการณ์หนี้สินครัวเรือนไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุดไตรมาส 3/2562 พบว่าหนี้สินครัวเรือนอยู่ที่ 13.23 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 79.1% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2562 ที่หนี้สินครัวเรือนอยู่ที่ 13.08 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 78.8% ของจีดีพี โดยหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเติบโตแทบทุกหมวด โดยเฉพาะในหมวดอุปโภคบริโภค เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล
พร้อมกันนั้น ธปท.ยังประเมินว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้รายได้ของครัวเรือนลดลง 20% จะทำให้กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย 72% ของครัวเรือนที่มีรายได้น้อยทั้งหมด มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และไม่เพียงพอต่อรายจ่ายดอกเบี้ยรายเดือนที่ค่อนข้างสูงมาก
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage