ดีเอสไอ ประสานกรมวิชาการเกษตร เลขาฯ รมว.กระทรวงยุติธรรม บุกค้น 5 จุด พื้นที่ นนทบุรี-นครราชสีมา พบ 2 เอกชน นำ ‘พาราควอต-ไกลโพเซต’ ผสมผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์ เร่ขายปชช.ผ่านโซเซียลมีเดีย เสียหายมากกว่าสิบล้าน ยึดของกลางอุปกรณ์เพียบ เตรียมสรุปสำนวนส่งอัยการฟ้อง
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2562 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่จากกองคดีคุ้มครองผู้บริโภคและศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ 3 (นครราชสีมา) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ : DSI) ร่วมกับ กรมวิชาการเกษตร โดยนายสุรเดช ปัจฉิมกุล รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร และ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมกันเข้าตรวจค้นบริษัทและแหล่งผลิต และจำหน่ายวัตถุอันตราย จำนวน 5 จุด พร้อมกัน ได้แก่
บริษัท สมาร์ท ไบโอเทค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืชยี่ห้อ “สมาร์ทไบโอ” และผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น ๆ เช่น สารเสริมประสิทธิภาพกำจัดโรคพืช ยี่ห้อ “ท็อปเคลียร์” สารปรับสภาพน้ำชนิดพิเศษ ยี่ห้อ “สมาร์ท ไบโอ อะควอ” และปุ๋ย เป็นต้น ตั้งอยู่ที่ จ.นนทบุรี จำนวน 2 จุด (คดีพิเศษที่ 73/2562)
และ บริษัท วีไอพี คิงดอม 999 จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืช ยี่ห้อ “ซุปเปอร์ไลค์” และผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ยี่ห้อ “ออแกนิค คิล” ปุ๋ยสินแร่นาโน บูม ชนิดเม็ด เป็นต้น ตั้งอยู่ที่ จ.ปทุมธานี จำนวน 1 จุด และ จ.นครราชสีมา จำนวน 2 จุด (คดีพิเศษที่ 74/2562)
จากการเข้าตรวจตรวจค้นทั้ง 5 จุด สามารถยึดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก รวมทั้ง อายัดอุปกรณ์การผลิตไว้เพื่อทำการตรวจสอบ โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้เร่งดำเนินคดีและสรุปสำนวนเพื่อส่งพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสืบสวนสอบสวนของกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษ พบว่า ทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว ได้มีการนำสารพาราควอตไดคลอไรด์และไกลโพเซต – ไอโซโพรพิลแอมโมเนียม ซึ่งเป็นสารควบคุมตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 บัญชี 1.1 ลำดับที่ 353 และลำดับที่ 43 ที่เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 มาผสมกับผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และมีการขายผ่านทางสื่อโซเซียลมีเดีย ทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์ชีวภาพดังกล่าวไม่มีผลต่อสุขภาพ เป็นเหตุทำให้ผู้ซื้อได้รับอันตรายต่อสุขภาพจากการใช้ เข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ฐาน ผลิต หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ ตามมาตรา 23 ประกอบ มาตรา 73 และฐานผลิตหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ตามมาตรา 45 (4) ประกอบ มาตรา 78 ซึ่งเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ (ฉบับที่ ) พ.ศ.2562 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 กำหนดให้คดีความผิดที่มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 74 มาตรา 75 มาตรา 76 และมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามีมูลค่าวัตถุอันตรายตั้งแต่สิบล้านบาทขึ้นไป หรือมีจำนวนผู้เสียหายตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไป
โดยคดีนี้จากการสืบสวนเบื้องต้นน่าเชื่อว่ามีความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป และมีผู้ได้รับผลกระทบจากวัตถุอันตรายดังกล่าวมากว่า 1,000 ราย นอกจากนี้ อาจเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 เนื่องจากมีการผลิตปุ๋ยเพื่อการค้า โดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนหรือไม่ได้รับอนุญาต อันเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 12 ประกอบมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เนื่องจากมีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่จะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 14 (1) อีกด้วย
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/