
กฤษฎีกา คณะที่ 1 ตอบข้อหารือ อ.ก.พ. กระทรวง ใช้ดุลพินิจพิจารณาระดับโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง ข้าราชการ พม. ให้เหมาะกับพฤติการณ์ได้หรือไม่ ภายหลัง ป.ป.ท.- ป.ป.ช. มีมติชี้มูล ความผิดฐานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่-วินัยร้ายแรง ชี้ มีเหตุลดหย่อนโทษได้ แต่ห้ามต่ำกว่าปลดออก ไม่ตัดอำนาจใช้ดุลพินิจ หวั่น ไม่เป็นธรรมอย่างร้ายแรงต่อผู้กระทำ หากไม่มีเจตนาทุจริตอย่างชัดแจ้ง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยแพร่ เรื่องเสร็จที่ 1446/2568 บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง อำนาจของ คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวง ในการพิจารณากำหนดโทษทางวินัยข้าราชการสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) 2 ราย ภายหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง กรณี อนุมัติเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและไร้ที่พึ่ง กับออกโฉนดที่ดินในนิคมสร้างตนเองให้แก่เอกชนในพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร (Watershed Area) อ.ก.พ.กระทรวง และผู้บังคับบัญชามีอำนาจในการใช้ดุลพินิจพิจารณาระดับโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ตามที่ ป.ป.ท. หรือ ป.ป.ช.ชี้มูลตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ได้หรือไม่
โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ตอบข้อหารือว่า อ.ก.พ. กระทรวง ต้องพิจารณาลงโทษไปตามสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ท. หรือ ป.ป.ช. ถ้ามีเหตุลดหย่อนโทษจะนำมาประกอบการพิจารณาก็ได้ แต่ห้ามไม่ให้ลดโทษลงต่ำกว่าปลดออก อย่างไรก็ตามไม่ได้ตัดอำนาจ อ.ก.พ. กระทรวงในการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาลงโทษ โดยให้ยึดหลักการตามหนังสือเวียนสำนักงาน ก.พ. ที่ว่าการลงโทษข้าราชการสถานหนักถึงขั้นไล่ออกจากราชการต้องมีหลักฐานชัดเจนว่า ผู้กระทำความผิดมีเจตนาทุจริตต่อหน้าที่ราชการ
โดยมีรายละเอียดดังนี้
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) พิจารณาข้อหารือของกระทรวง พม. แล้วเห็นว่า การพิจารณาของ อ.ก.พ.กระทรวง ตามข้อหารือนี้จะต้องลงโทษไล่ออกจากราชการแต่ประการเดียวตามมติครม.ดังกล่าวหรือไม่ นั้น เห็นว่า การพิจารณาของ อ.ก.พ.กระทรวงในเบื้องต้นต้องไปเป็นตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนการไต่สวนและฐานความผิดตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ท. หรือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และเป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ มาตรา 97 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหาที่บัญญัติให้ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกแก่ผู้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ำกว่าปลดออก
สำหรับมติครม. ดังกล่าว ที่ อ.ก.พ. กระทรวง จะต้องปฏิบัติตามนั้น เมื่อใช้คำว่า ควรลงโทษไล่ออก ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ได้เป็นการบังคับตายตัว หรือ ตัดอำนาจในการใช้ดุลพินิจของ อ.ก.พ. กระทรวง โดยสิ้นเชิง ดังนั้น ในการพิจารณาของ อ.ก.พ. กระทรวง จึงยังต้องนำแนวทางของ ก.พ. ตามหนังสือเวียนของสำนักงาน ก.พ. ที่ นร. 1011/ว 16 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2566 ที่ว่า
“การที่จะสั่งลงโทษข้าราชการสถานหนักถึงขั้นไล่ออกจากราชการจะต้องมีพยานหลักฐานชัดเจนพอสมควรว่าผู้กระทำผิดมีเถยจิตหรือมีเจตนาทุจริตต่อหน้าที่ราชการด้วย”
ประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 8/2568 ซึ่งมีความว่า “แม้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาจะต้องผูกพันตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ แต่จะพิจารณาโทษทางวินัยเป็นประการใดนั้น ย่อมต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์การกระทำที่ประกอบกันเป็นความผิด ตลอดจนความร้ายแรงของการกระทำเพื่อลงโทษให้เหมาะสมตามความยุติธรรมในแต่ละกรณีต่อไป” มาประกอบการพิจารณาด้วย
ทั้งนี้ อ.ก.พ.กระทรวง จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง หากข้อเท็จจริงปรากฏโดยชัดแจ้งว่า การลงโทษไล่ออกนั้นจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมอย่างร้ายแรงแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือ ผู้กระทำไม่มีเถยจิต หรือ เจตนาทุจริตอย่างชัดแจ้ง หรือ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหานั้นเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติของทางราชการที่เคยทำมา อ.ก.พ.กระทรวง ย่อมมีดุลพินิจที่จะพิจารณาโทษตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯ มาตรา 97 วรรคหนึ่งได้
@ เปิดหนังสือลับ พม. หารือ ป.ป.ท.-ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า สืบเนื่องจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีหนังสือ ลับ ที่ พม 0202/3839 ลงวันที่ 10 ก.ย.68 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอหารือเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจ โดย อ.ก.พ. กระทรวงและผู้บังคับบัญชาในการพิจารณากำหนดโทษทางวินัยแก่ข้าราชการสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้เหมาะสมกับฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 85 (1) รวม 2 เรื่อง ดังนี้
1. คณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้มีมติชี้มูลความผิดฐานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมาตรา 157 และความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ มาตรา 85 (1) แก่นางสาว จ. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัด ช. กรณีการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2560 ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัด ช. ส่อไปในทางทุจริต
โดยอนุมัติเงินสงเคราะห์ตามระเบียบกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ว่าด้วยการสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2552 ทั้งที่เอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วนถูกต้องและการพิจารณาผู้มีสิทธิไม่เป็นไปตามระเบียบดังกล่าว รวม 3 กรณี
โดยสำนักงาน ป.ป.ท. ได้มีหนังสือแจ้งมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงดังกล่าวต่อกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เพื่อให้พิจารณาโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ เพื่อปฏิบัติตามพ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 มาตรา 40 และมาตรา 41 โดยไม่ต้องดำเนินการสอบสวนทางวินัยอีกและสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาภายในสามสิบวันนับแต่ได้รับเรื่อง และให้ส่งสำเนาคำสั่งลงโทษให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ทราบต่อไป เป็นเหตุให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนเสนอต่อ อ.ก.พ. กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ท. ดังกล่าว
@ ออกโฉนดในนิคมสร้างตนเองในพท.ป่าต้นน้ำ
2. คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดฐานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง แก่นาย อ. ในฐานะหัวหน้ากลุ่มการสนับสนุนงานศูนย์พัฒนาสังคมสำนักพัฒนาสังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ซึ่งปัจจุบันเป็นข้าราชการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กรณีการออกโฉนดที่ดินในนิคมสร้างตนเองให้แก่เอกชนในพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร (Watershed Area) และแปลงปลูกป่าทดแทนตามมติคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2537 และพื้นที่ดังกล่าวยังอยู่ในเขตเขา บางส่วนมีความลาดชันเกิน 35 เปอร์เซ็นต์ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดบริเวณที่หวงห้ามตามมาตรา 9 (2) ประมวลกฎหมายที่ดิน ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2523
โดยสำนักงานป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงดังกล่าวต่อกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการและสำนักงานปลัดกระทรวงฯ เพื่อให้พิจารณาโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ ตามฐานความผิดดังกล่าวตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอีก และสั่งลงโทษผู้กล่าวหาภายในสามสิบวันนับแต่ได้รับเรื่อง และส่งสำเนาคำสั่งลงโทษให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา