
สำนักงบประมาณ’ แพร่รายงานวิเคราะห์แจก ‘เงินหมื่น’ ยุค ‘ครม.แพทองธาร’ ชี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.43 แสนล้าน แต่ผลกระทบคงอยู่เฉพาะ ‘ระยะสั้น’ เหตุเงินส่วนใหญ่นำไปใช้ ‘อุปโภค-บริโภค-ใช้จ่ายในครัวเรือน' บางส่วนนำไป 'ออม-ชำระหนี้’ ขณะที่เงินที่นำไปใช้เพิ่มศักยภาพสร้างรายได้ฯ 'มีสัดส่วนน้อย’
.....................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา สำนักงบประมาณ เผยแพร่รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ จากการใช้จ่ายงบประมาณโครงการสำคัญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล กรณีค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ หรือการแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนพิการ และผู้สูงอายุ
โดยผลประเมินด้านประสิทธิภาพด้านงบประมาณฯ กรณีค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พบว่า มีการโอนเงินสำเร็จแก่กลุ่มเป้าหมาย 17,388,938 ราย เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 173,889.38 ล้านบาท จำแนกเป็น 1.ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 12,366,722 ราย เป็นเงิน 123,667.22 ล้านบาท 2.คนพิการ 2,031,834 ราย เป็นเงิน 20,318.3400 ล้านบาท และ3.ผู้สูงอายุ 2,990,382 ราย เป็นเงิน 29,903.82 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาวงเงินของผู้มีสิทธิได้รับทั้งหมดตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ของโครงการฯ 185,552.4 ล้านบาท พบว่าสัดส่วนการโอนเงินแก่กลุ่มเป้าหมาย สำเร็จคิดเป็นร้อยละ 93.73
@แจก‘เงินหมื่น’ช่วยกระตุ้นศก.-แต่ได้ผลเฉพาะ‘ระยะสั้น’
เมื่อพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจของการโอนเงินแก่กลุ่มเป้าหมายในภาพรวม จำนวน 173,889.38 ล้านบาท พบว่า จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงิน และก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ GDP เท่ากับ 243,445.13 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า กลุ่มเป้าหมายร้อยละ 58.26 ใช้เงินที่ได้รับจนหมดในระยะเวลามากกว่า 1 เดือน และเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับรายได้หรือแหล่งเงินที่มีอยู่เดิมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งไม่ใช่เงินที่ได้รับจากโครงการ พบว่า มีการใช้แหล่งเงินดังกล่าวในการใช้จ่ายมากขึ้นจากเดิม ร้อยละ 18.26 และเท่าเดิม ร้อยละ 60.87 จึงแสดงให้เห็นว่าประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับลดการใช้จ่ายเดิมลง เมื่อได้รับเงินจากโครงการ 10,000 บาท/ราย
ทั้งนี้ รายงานฉบับนี้ใช้ Fiscal Multipliers จากการให้เงินแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนพิการ และผู้สูงอายุในการวัดผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยค่า Fiscal Multipliers เท่ากับ 1.4 ซึ่งหมายความว่า การใช้จ่ายเงินตามโครงการฯ จำนวน 1 บาท จะทำให้ GDP เพิ่มขึ้นในระยะยาว 1.4 บาท
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาผลกระทบด้านสังคม พบว่า 1.การโอนเงินช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายของโครงการ จำนวน 10,000 บาท/ราย จะเป็นการสนับสนุนการกระจายรายได้ของประเทศ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนพิการ และผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคม
โดยการโอนเงินดังกล่าวได้ช่วยบรรเทาภาวะความยากจนให้ลดลง ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีสภาพคล่องทางการเงินสูงขึ้น เพื่อใช้ดำรงชีวิตและใช้จ่ายในสินค้าและบริการ ที่จำเป็นในช่วงที่สภาวะทางเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนี้ การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ จะช่วยลดความขัดแย้งทางสังคมและสร้างความสงบสุขในสังคม
และ 2.ในด้านความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงินของประชาชนนั้น โดยที่โครงการมีการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ ซึ่งจำเป็นต้องผูกบัญชีเงินฝากกับเลขบัตรประจำตัวประชาชน นอกจากนี้ การสมัครเข้าร่วมโครงการในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุ จะดำเนินการผ่าน Application ทางรัฐ ดังนั้น การดำเนินโครงการจะทำให้ประชาชนที่เข้าร่วม มีความคุ้นเคยกับ Digital Platform มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาประเทศให้เตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลต่อไป
ในด้านการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณฯ ซึ่งเป็นการโอนเงินโดยตรง (Direct Transfer) ให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนพิการ และผู้สูงอายุ นั้น พบว่า
1.ด้านเศรษฐกิจ การอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการจ่ายตรงถึงประชาชน ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจทันทีในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมาก โดยพบว่า ประชาชนนำเงินไปใช้ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีพ อาทิ การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ยารักษาโรค และค่าบริการจำเป็น ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน และส่งเสริมรายได้ของผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่
2.ด้านสังคม พบว่าช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้นของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ และผู้ไม่มีหลักประกันทางสังคมอื่นๆ โดยเงินสนับสนุนจำนวน 10,000 บาท ที่โอนเข้าบัญชีของแต่ละรายนั้น สามารถนำไปใช้จ่ายในครัวเรือน จัดซื้อยารักษาโรค ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉิน หรือเป็นทุนตั้งต้นในการค้าขายขนาดเล็ก โดยพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกพึงพอใจในโครงการ ลดภาวะความเครียดในครัวเรือน ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และส่งเสริมการกระจายรายได้ในระดับฐานราก
อย่างไรก็ตาม ในด้านการประเมินความยั่งยืน (Sustainability) ของโครงการฯ พบว่า ในประเด็นด้านการบรรเทาภาระค่าครองชีพ เข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมการกระจายรายได้ นั้น ผลกระทบจากโครงการฯ จะยังคงอยู่เฉพาะในระยะสั้น เนื่องจากเป็นการโอนเงินจ่ายขาดให้เพียงครั้งเดียว
และประชาชนกลุ่มเป้าหมายนำเงินส่วนใหญ่ไปใช้ในการอุปโภค บริโภค และใช้จ่ายในครัวเรือนเป็นหลัก และบางส่วนนำไปเก็บออมและชำระหนี้ ในขณะที่การนำเงินที่ได้รับไปใช้จ่ายวัสดุ อุปกรณ์ และการเสริมสร้างความรู้ เพื่อส่งเสริมอาชีพและเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้มีสัดส่วนน้อย
ส่วนประเด็นด้านการสร้างความคุ้นเคยของประชาชนต่อการใช้ Digital Platform ภาครัฐ นั้น พบว่า มีกลุ่มเป้าหมายของโครงการบางส่วนที่อยู่ในช่วงวัยที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ และมีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอในการเข้าถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีความคุ้นเคยในการเข้าถึง และใช้ประโยชน์ Digital Platform ภาครัฐมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถ เข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างสะดวกขึ้นในระยะยาว และการดำเนินการของภาครัฐในการให้ ความช่วยเหลือแก่ประชาชนมีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
@ชี้ 4 ‘ความเสี่ยง’แจก‘เงินหมื่น’ชง 5 ข้อเสนอแนะ
นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสารสัมภาษณ์เชิงลึก จากหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พบว่า การดำเนินโครงการฯยังมีความเสี่ยงในหลายประเด็น โดยสามารถจำแนกได้ตามลักษณะของปัจจัยเสี่ยงได้ 4 ประเด็น คือ
1.ด้านความถูกต้องของข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย
โครงการมีการอาศัยฐานข้อมูลประชาชนจากหลายแหล่งข้อมูล ซึ่งยังพบข้อจำกัดในความถูกต้อง ความทันสมัย และการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในกรณีของผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่บางรายอาจพ้นสภาพแล้ว แต่ยังคงอยู่ในฐานข้อมูล ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการจัดสรรสิทธิผิดพลาด และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของโครงการในด้านความโปร่งใส และความเป็นธรรม แสดงให้เห็นถึงความล่าช้าในการปรับปรุงฐานข้อมูลกลางของประเทศ และการขาดระบบตรวจสอบความซ้ำซ้อนในระดับบุคคล
2.ด้านกระบวนการและกลไกการบริหารจัดการ
การดำเนินงานของโครงการอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานหลายฝ่าย ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค อาทิ กรมบัญชีกลาง ธนาคารของรัฐ หน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการพัฒนาสังคมในพื้นที่ หากการบริหารจัดการไม่มีความเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ หรือขาดการสื่อสารที่ชัดเจน จะส่งผลให้กระบวนการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนล่าช้า หรือเกิดความไม่เข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้รับบริการ
อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่เกิดจากข้อจำกัด ด้านเวลา เนื่องจากเป็นโครงการเร่งด่วนซึ่งมีกรอบระยะเวลากำหนดไว้แน่นอน การเตรียมการ ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบการลงทะเบียนและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่จำเป็น ในการดำเนินโครงการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดข้องในการให้บริการแก่ประชาชน
3.ด้านการมีส่วนร่วมและความพร้อมของกลุ่มเป้าหมาย
แม้ระบบพร้อมเพย์และการผูกบัญชีธนาคารกับบัตรประชาชนจะเป็นนวัตกรรม ที่ทันสมัยและสะดวกต่อการจ่ายเงิน แต่ในทางปฏิบัติยังมีประชาชนกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะในเขตชนบท ผู้สูงอายุ และผู้พิการบางราย ที่ขาดความรู้หรือความเข้าใจในการใช้งานระบบดิจิทัล และไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงไม่มีบัญชีธนาคารหรือไม่ได้ผูกบัญชีกับหมายเลขบัตรประชาชนจึงไม่สามารถ เข้าถึงสวัสดิการที่ภาครัฐจัดสรรได้ทันท่วงที และเกิดความไม่เท่าเทียมในการรับประโยชน์
4.ด้านภาวะเศรษฐกิจ
ภาวะเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อาจทำให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ รายได้ และการจ้างงานในอนาคต ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมาย นำเงินที่ได้รับจากรัฐบาลไปเก็บออมมากขึ้น รวมทั้งประเด็นโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย อาทิ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) การพึ่งพาภาคการผลิตและการส่งออกสินค้าที่ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มในปัจจุบัน
และการขาดความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจภายนอกประเทศ อาจทำให้สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้น และทำให้ประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจของโครงการลดลง
รายงานฯฉบับนี้ยังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯในอนาคต ใน 5 ประเด็น ได้แก่
1.ควรมีการเตรียมความพร้อมและความเข้าใจในการใช้ Digital Platform โดยการเพิ่มระยะเวลาในการประชาสัมพันธ์ โดยให้หน่วยงานในพื้นที่ ผู้นำชุมชน เครือข่ายในชุมชน หรืออาสาสมัครเข้ามาส่งเสริมให้ความรู้ทักษะด้านดิจิทัลและถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
2.ควรปรับปรุงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้เป็นปัจจุบันและเชื่อมโยงหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อคัดกรองกลุ่มเปราะบาง และควรเปิดโอกาสให้ตรวจสอบ สิทธิและร้องเรียน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด
และควรมีการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลบัตรประชาชนที่มีเลขประชาชน 13 หลัก ในการจำแนกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อลดภาระงานในการลงทะเบียนผู้มีสิทธิ ในการดำเนินมาตรการแต่ละครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดทำฐานข้อมูลระบบสวัสดิการแบบบูรณาการในอนาคต
3.ในการดำเนินโครงการครั้งต่อไป ควรดำเนินโครงการครั้งละ 1 กลุ่มเป้าหมาย และเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จในแต่ละครั้ง ให้ทำการจัดเก็บข้อมูล ลงบัญชีการจ่ายเงิน และตรวจสอบสิทธิ ก่อนเริ่มดำเนินโครงการครั้งต่อไป และควรมีการจัดตั้ง “จุดบริการเฉพาะกิจ” สำหรับกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสิทธิ์อย่างเป็นธรรม ในลักษณะหน่วยบริการเคลื่อนที่ (Mobile Service)
4.ควรปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของการดำเนินมาตรการ ให้เป็นไปเพื่อส่งเสริมการคุ้มครอง ทางสังคมหรือ Social Protection ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเปราะบางในด้านต่างๆ อาทิ การกระจายรายได้ การจัดสวัสดิการขั้นพื้นฐานในการรักษาพยาบาลและการศึกษา รวมถึงการส่งเสริมศักยภาพด้านอาชีพ และการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อประเทศในระยะยาวในประเด็นเกี่ยวกับการกระจายรายได้และเพิ่มศักยภาพของประชาชนกลุ่มเปราะบาง
5.ควรนำประชาชน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และ SMEs เข้าสู่ระบบภาษีให้มากขึ้น เพื่อให้ภาครัฐทราบสถานะทางการเงินที่แท้จริง สามารถจัดทำโครงการให้ความช่วยเหลือได้ตรงเป้าหมาย และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงได้ต่อไปดังเช่นประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ เดนมาร์ก เอสโตเนีย และ สิงคโปร์ โดยประเทศเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเชื่อมต่อข้อมูลภาครัฐเพื่อให้บริการประชาชนได้ อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีมติอนุมัติดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2 โครงการ งบประมาณรวมไม่เกิน 185,552.4 ล้านบาท ได้แก่
1.โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ในวงเงินไม่เกิน 145,552.4 ล้านบาท โดยมีแหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบฯ 2567 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงินไม่เกิน 122,000 ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินไม่เกิน 23,552.4 ล้านบาท
และ 2.โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็ง ของระบบเศรษฐกิจ วงเงินไม่เกิน 40,000 ล้านบาท

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา