
เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา 'สุพจน์ พุ่มพร้อมจิตร' อดีตนายกเทศมนตรีตำบลทะเลทรัพย์ ชุมพร มีส่วนได้เสียจัดซื้อจ้าง 6 โครงการ เมื่อปี 2557 ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ให้ลงโทษ 12 ปี 16 เดือน หลังคดีแรกเรียกรับเงินตอบแทนจ่ายโบนัส โดนโทษคุก 10 ปี แต่ได้รอลงอาญา ป.ป.ช.ฏีกาสู้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา นายสุพจน์ พุ่มพร้อมจิตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลทะเลทรัพย์ อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร กับพวก เข้ามีส่วนได้เสียในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของเทศบาลตำบลทะเลทรัพย์จำนวน 6 โครงการ เมื่อปี 2557 ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 , 152 , 157 และ พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 100 (1) ประกอบมาตรา 122 และ 123/1 ประกอบ พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 192 ประกอบ ป.อ. มาตรา 90 และมาตรา 91 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8
จากเดิม
มีคำพิพากษาว่า นายสุพจน์ พุ่มพร้อมจิตร จำเลยมีความผิดตามมาตรา 151 (เดิม), 152 (เดิม), 157 (เดิม) พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มาตรา 100 (1), 122, 123/1 พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 126, 168, 172 และ มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) มาตรา 12
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามมาตรา 90 จำเลยกระทำความผิด 4 กรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 20 ปี
คำให้การและทางนำสืบจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามมาตรา78 คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
แก้เป็นว่า
จำเลย มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 151 (เดิม), 152 (เดิม), พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มาตรา 100 (1), 122, 123/1 พ.ร.บ.ฮั้ว มาตรา 12 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ฮั้ว
มาตรา 12 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. 90
จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน จำคุกกระทงละ 5 ปี ลดโทษให้กระทงหนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้วคงจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 4 กระทง
คงจำคุกรวม 12 ปี 16 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไป
ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ทั้งนี้ คดียังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้ได้อีก
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 เห็นชอบตามที่อัยการสูงสุดจะไม่ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยังคงพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง เพียงแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ฮั้ว พ.ศ.2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักกว่าโทษในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 151
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
พ.ร.บ.ฮั้ว มาตรา 12 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ มีความผิดฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาแก้โทษ นายสุพจน์ พุ่มพร้อมจิตร และพวก ในคดีกล่าวหาเรียกรับเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษ (โบนัส) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 และ พ.ศ.2557 จากพนักงานเทศบาลฯ โดยลงโทษปรับจำเลยทั้งสามกระทงละ 10,000 บาท รวมปรับคนละ 20,000 บาท โทษจำคุกของจำเลยทั้งสาม คนละ 10 ปี ให้รอการลงโทษไว้คนละ 1 ปี เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ได้พิจารณาแล้วมีมติไม่เห็นพ้องกับอัยการสูงสุด (อสส.) ในกรณีที่จะไม่ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และเห็นควรที่จะฎีกาคำพิพากษาศาลดังกล่าว


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา