
‘พิพัฒน์’ลุกแจง 3 ประเด็น ‘เขากระโดง’ ฟ้องรายแปลง 995 ราย ส่วนประเด็นค่าโดยสารต่ออายุ ‘ม่วง-แดง’ 20 บาทไปอีก 2 เดือน พร้อมเชิญผู้รู้มาให้ข้อมูลความเห็นเกี่ยวกับนโยบายค่าโดยสาร สอดคล้อง ‘แลนด์บริดจ์’ แย้มข้อดีมากมาย แต่ก็จะรับฟังผู้รู้เช่นกัน เปิดทิศทางต้องดึงทุนนอกเข้ามาลงทุน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 30 กันยายน 2568 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ วันที่สอง นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวชี้แจงว่า ประเด็นพิพาทที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ขอยืนยันว่าทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะดำเนินการฟ้องร้องผู้บุกรุกหรือผู้ที่อ้างกรรมสิทธิ์ทั้ง 995 ราย 5,083 ไร่ เป็นรายๆไป จนครบ
ขณะที่ประเด็นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วงและรถไฟชานเมืองสายสีแดงที่เก็บค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท และกำลังจะหมดอายุมาตรการวันนี้ (30 ก.ย. 2568) นี้นั้น นายพิพัฒน์ระบุว่า จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทบทวนมติเดิมเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2568 ที่ให้มาตรการนี้สิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. 2568 นี้ โดยจะขอทบทวนให้กลับไปใช้มติเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ที่จะทำให้มาตรการข้างต้นสิ้นสุดวันที่ 30 พ.ย. 2568 นี้ ที่เลือกต่ออายุมาตรการนี้ เหตุผลสำคัญคือ จะมีผลกับผู้ใช้บริการทั้งสองสาย และในช่วง 2 เดือนนี้ กระทรวงคมนาคมจะหารือว่า จะมีวิธีการอย่างไรต่อไป อาจจะมองในภาพรวมว่า จะเอาสัมปทานรถไฟฟ้าของบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) และบมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) มาร่วมด้วยอย่างไร แนวโน้มคือจะหารือกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อตั้งคณะกรรมการร่วมศึกษาว่า ภาครัฐจะต้องรับผิดชอบด้านไหนบ้าง แต่แน่นอนว่า ภาครัฐจะย้อนกลับไปชดเชยคงไม่เหมาะ เพราะเราก็ไม่อยากเพิ่มภาระหนี้ รวมถึงก็ต้องเคารพสัญญาสัมปทานเดิมของเอกชน และยึดถือประชาชนเป็นสำคัญ มั่นใจว่า 4 เดือนนี้ จะดำเนินการให้เป็นสารตั้งต้นให้ได้
นอกจากนี้ นายพิพัฒน์กล่าวถึงรถโดยสารประจำทางด้วย โดยกล่าวว่า รถร้อนมีค่าโดยสาร 8 บาท แต่เมื่อมีนโยบายยกเลิกรถร้อน ผู้โดยสารที่ใช้บริการประจำจะทำอย่างไร ก็จะศึกษาเช่นกันและขอความกรุณาสมาชิกพรรคการเมืองหลายๆพรรค ส่งผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญมาหารือกัน เป็นอีกเรื่องที่ขอชี้แจงว่า กระทรวงคมนาคมไม่ใช่ของตน ตอนนี้อาจจะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ แต่ในอนาคตก็จะมีคนอื่นมาเป็น
ต่อมา นายพิพัฒน์ยังกล่าวถึงโครงการแลนด์บริดจ์ด้วย โดยชี้แจงว่า ไม่ใช่ว่าจะเอาให้ได้ แต่ส่วนนี้ถ้ามีการศึกษาใหม่ว่าผลดีผลเสียมีอะไรบ้าง แต่ที่ได้ศึกษามา ไทยน่าจะลดเวลาเดินทางลงได้ 4-5 วัน เพราะความแออัดของช่องแคบมะละกามีมาก และเรือที่ผ่านช่องแคบต้องไปแวะที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ โดยในรายละเอียดจะไม่ลงลึก แต่ที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่มีการกล่าวหาว่า จะกระทบสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ส่วนตัวก็คำนึงถึงอย่างมาก เพราะทะเลอันดามันมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย มีเกาะสวยงาม น้ำทะเลใส ดังนั้น ในส่วนนี้จะพยายามดูแลให้ดีที่สุด สำคัญที่สุด รัฐบาลจะไม่ลงทุนแต่จะเชิญนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาทำ ถ้าทำสำเร็จก็จะเชื่อม 2 ชายฝั่งคือ ฝั่งอ่าวไทยจะติดต่อไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก ฝั่งอันดามันก็จะติดกับมหาสมุทรอินเดียลามไปถึงเอเชียกลางหรือภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่นกัน จะทำการศึกษาอย่างดีที่สุด และจะเชิญชวนนักลงทุนมาลงทุน รวมถึงบริหารท่าเรือ เพราะความรู้ความเชี่ยวชาญนักธุรกิจไทยยังสู้ต่างประเทศไม่ได้
และสุดท้าย นายพิพัฒน์ชี้แจงกรณีแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะประเทศเมียนมาและกัมพูชา ระบุว่า มีการร้องไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อสอบสวนแล้ว ก็น้อมรับกระบวนการ และมีการปรับเปลี่ยนบริการเป็นระบบไอที มีผู้ลงทะเบียน 100,000 บาทสำหรับชาวกัมพูชา ส่วนเมียนมา เบื้องต้นยังไม่ได้ดำเนินการต่อ แต่ก็พร้อมชี้แจงและทำความเข้าใจ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา