
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง สั่งจำคุก ยศวริศ-เจ๋ง ดอกจิก 6 ปี เรียกรับเงินค่าไม่ร้องเรียนอธิบดีกรมการข้าว ขณะที่ ศรีสุวรรณ จรรยาพร้อมพวก รวม 5 ราย โดน ฐานสนับสนุน ศาลสั่งจำคุกคนละ 4 ปี ให้ประกัน-อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน คนละ 6 เเสนบาท เงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 17 กันยายน 2568 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ตลิ่งชัน ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2567 นายนัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าวในขณะนััน เข้าแจ้งความกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ว่านายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก อดีตข้าราชการเมือง ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเเละ นายศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องเรียนชื่อดัง กับพวก รวม 5 คน กลุ่มผู้ต้องหารวม 5 คน เกี่ยวกับกรณีเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีการเรียกรับทรัพย์สิน จำนวน 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ร้องเรียนเรื่องทุจริตที่เกี่ยวข้องกับกรมการข้าว โดยตำรวจได้วางแผนเข้าจับกุมนายศรีสุวรรณได้คาบ้านพัก หลังนัดมอบให้เงินกัน ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือ ถูกจับกุมในเวลาต่อมา
ก่อนขึ้นฟังคำพิพากษานายศรีสุวรรณ เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ผู้มีอำนาจต้องการเตะตัดขา เพราะไม่ต้องการให้ทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง เพราะสิ่งที่ทำมานับ 10 ปี เป็นที่หวาดผวาของนักการเมืองและข้าราชการจำนวนมาก เรื่องร้องเรียนนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองหลายพรรค จบอนาคตการเมืองของนักการเมืองดังหลายคน จึงเป็นที่มาของการหาเหตุให้ต้องคดี โดยใช้เทคนิควิธีการ ซึ่งในภาษากฎหมายเรียกว่าล่อให้กระทำความผิด ทั้งการเอาถุงเงินไปแขวนหน้าบ้าน หากพฤติกรรมแบบนี้ถือเป็นความผิด อนาคตอาจนำไปใช้กันทั่วประเทศและก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อประชาชน ที่ผ่านมาได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด เพราะต้องการพิสูจน์ให้ความปรากฏชัดเจน เพราะที่ผ่านมาได้รับความเสียหายอย่างมากประเด็นสำคัญคือไม่สามารถใช้สิทธิ์ในฐานะประชาชนมาตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงได้มากนัก ทำให้นักการเมืองดีอกดีใจ กระพือปีก ทำอะไรโดยอำเภอใจ แล้วย่ามใจ

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า วันนี้ไม่กังวลใจอะไร แต่กลับมีความมั่นใจในการไต่สวนสืบ และเชื่อมั่นในคำพิพากษาว่าศาลจะให้เจ้าตัวกลับไปทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งเหมือนเดิม โดยการต่อสู้ไม่ได้มีพยานหรือหลักฐานอื่น นอกจากหลักฐานตามคำฟ้องที่ตำรวจและอัยการเสนอมาที่ศาลจำนวน 4,773 หน้า มาโต้ เพราะคำฟ้องทั้งหมด ทีมทนายความสามารถจับได้ว่ามีข้อพิรุธ พยานหลักฐานอ่อน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้ในรูปคดี อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้คดีนี้เป็นบรรทัดฐานที่ไม่ให้ผู้มีอำนาจมากลั่นแกล้งอีกต่อไป ส่วนจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ ขอฟังคำพิพากษาและปรึกษาทีมทนายก่อน
ส่วน นายยศวริศ เดินทางมาถึงก่อนเวลานัดหมาย แต่ยังไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เดินทางมาถึงได้เดินขึ้นที่ห้องพิจารณาคดีทันที
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งหมดกระทำความผิดจริง ฐานเป็นพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และสนับสนุนเจ้าพนักงานงานให้ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบ มีพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิด ทั้งคลิปเสียง, คลิปภาพ , ข้อความแชทในแอพพลิเคชัน LINE และหมายเลขธนบัตรที่นำไปมอบให้นายศรีสุวรรณที่บ้านนั้นเป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ภรรยาของนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เบิกจากธนาคารมาเพื่อเป็นหลักฐานในการส่งมอบเงินในวันเกิดเหตุ
ศาลจึงพิพากษาจำคุกนายยศวริศ เป็นเวลา 6 ปี ส่วนนายศรีสุวรรณและพวก รวม 4 คน พิพากษาให้จำคุก 4 ปี หลังศาลพิพากษาทางจำเลยได้ยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดีต่อไป
@ ศาล ฯให้ประกัน เจ๋ง-ศรีสุวรรณ กับพวกคนละ 6 เเสนบาท ห้ามออกนอกประเทศ
ต่อมาภายหลังจำเลยทั้ง 5 รายได้ยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยชั่วคราวจำนวน 6 แสนบาท และศาลได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีเงื่อนไขห้ามจำเลยทุกคนเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
นายศรีสุวรรณให้สัมภาษณ์ภายหลังจากศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวว่า หลังจากนี้ตนจะต่อสู้ไปตามกระบวนการตามกฎหมายโดนตนยอมรับว่าไม่หนักใจ และเนื่องจากว่าพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมมาและที่ปรากฎอยู่ตามหน้าสื่อ เป็นพยานของฝ่ายตำรวจทั้งหมด ส่วนข้อเท็จจริงในส่วนของตนและจำเลยทั้งหมด ศาลไม่ได้นำมาเข้าสู่กระบวนการตามที่คาดหวังไว้ จึงเป็นช่องที่ทำให้ตนและจำเลยทั้งหมดต้องไปสู้กันต่อในชั้นศาลอุทธรณ์เพื่อให้พิจารณาข้อเท็จจริงอีกครั้ง และตนยังเชื่อมั่นว่าข้อเท็จจริงที่ตนและทีมทนายได้ดำเนินการยื่นให้ศาลพิจารณา ที่ยังไม่ปรากฏต่อสาธารณะในการยื่นอุทธรณ์ต่อไป
เมื่อถามว่ายังมีความหวังในชั้นศาลอุทธรณ์หรือไม่ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แน่นอนยังมีความหวังในชั้นศาลอุทธรณ์อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องการปล่อยชั่วคราวภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาศาลก็เมตตาให้ทีมทนายความทำเรื่องขออนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวทันทีจนในที่สุดก็อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวได้ ซึ่งตนก็ได้ใช้หลักทรัพย์จำนวน 6 แสนบาทที่เป็นที่ดินในจังหวัดกรุงเทพในการปล่อยตัวชั่วคราวครั้งนี้
ด้านนายยศวริศ เปิดเผยภายหลังฟังคำตัดสินว่า ตัวเองเคารพคำตัดสินของศาล ซึ่งประเด็นที่จะเป็นแนวทางการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ คือ ประเด็นที่ศาลจะมองว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่รัฐทำให้ลงโทษลงโทษจำคุก 6 ปี แต่ตัวเองมองว่า ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะการแต่งตั้งของนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นการแต่งตั้งเฉพาะตัว ซึ่งศาลยังไม่ได้ดูในรายละเอียด เพราะการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีองค์ประกอบ หลายอย่าง เช่น เงินเดือน ซึ่งที่ผ่านมาตัวเองไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตำแหน่งดังกล่าว แต่ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกกังวลใจกับคำตัดสินเพราะมองว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ขณะเดียวกันจะมีการต่อสู้ในประเด็นการเชื่อมโยงจำเลยทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์ โดยจะชี้แจงว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีความเชื่อมโยงกับจำเลยที่เหลือเนื่องจากไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไรจากจำเลยทั้งหมดและเชื่อว่าคำตัดสินในศาลชั้นสูงจะให้ความยุติธรรมกับตัวเอง ซึ่งคำพิพากษาในวันนี้ศาลได้นำโทษ คดีคาร์ม็อบ 2 คดี ในพื้นที่เมืองพัทยาและกรุงเทพมหานครเมื่อปี 64 มารวมกับการพิจารณาในครั้งนี้ด้วย ทำให้มียอดรวมจำคุก 6 ปี 4 เดือน สำหรับหลักทรัพย์ในการยื่นประกันตัววันนี้ ตัวเองได้ใช้โฉนดที่ดินในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มูลค่า 600,000 บาท ซึ่งเบื้องต้นศาล อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวแต่มีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ด้านทนายความของนายยศวริศ กล่าวว่า ส่วนตัวตั้งข้อสังเกตว่าศาลพิจารณาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของฝั่งผู้เสียหายและตำรวจ ซึ่งมองว่าเป็นการสรรหาพยานหลักฐานจากสิ่งที่ผู้เสียหายสร้างขึ้น โดยไม่ได้นำพยานหลักฐานของฝั่งจำเลยมาใช้ประกอบซึ่งหลังจากนี้ก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานที่ต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
ขณะที่นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ทราบข่าวจากหน้าสื่อ ว่ามีการพิพากษา ซึ่งตนเองไม่ได้ไปศาลในวันนี้ ก็บอกว่า ที่ผ่านมาได้ให้การไปกับศาลทั้งหมดแล้ว รวมถึงพยานหลักฐานต่างๆทั้งคลิปเสียง แชทไลน์ คลิปวิดีโอต่างๆ ที่ให้ไปตามข้อเท็จจริง ส่วนตัวมองว่า “เป็นกรรมของเขา เพราะว่าเขาทำกรรมมาเยอะแล้ว คนเราทำอะไรก็หนีกรรมไม่พ้น”
นายณัฎฐกิตติ์ กล่าวว่า ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัวมองว่าเฉยๆ เพราะตนเองโดนกระทำมาเยอะ ถูกใส่ร้ายมาเยอะ ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการข้าว ซึ่งก็ค่อยๆแก้กันไป เพราะเราไม่ได้กระทำความผิด แต่ก็อาจจะมีบ้างที่ไปขัดผลประโยชน์กลุ่มคนบางกลุ่ม แต่ส่วนตัวก็ต้องยอมรับความเป็นจริง เพราะเป็นบุคคลสาธารณะ แค่รู้ตัวว่าไม่ได้กระทำความผิดแค่นี้ก็เพียงพอ
เมื่อถามว่า รู้สึกโล่งใจหรือไม่ หลังมีคำพิพากษา นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า ตนเองไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้เอามาใส่ใจว่าจะติดเท่าไหร่ ทำตามหน้าที่ของตนไปหมดแล้ว
เมื่อถามว่ามีอะไรจะพูดฝากไปถึง นายศรีสุวรรณ หรือ นายยศวริศ หรือไม่ นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรจะพูดถึง ขอปล่อยให้เป็นไปตามหน้าที่ของศาล อัยการ ตำรวจ ที่ตัดสินไปแล้ว ส่วนตัวไม่มีอะไรติดใจ เพราะถือว่าตนเองทำหน้าที่ของตนเองดีที่สุดไปแล้ว และสังคมจะได้ไม่ตราหน้าว่าตัวเองเป็นคนขี้โกง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา