
ที่ประชุมสภากทม.ให้ ‘ชัชชาติ’ เจรจากับ BTSC เร่งจ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว วงเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท หลังกรุงเทพธนาคมเจรจาไม่เป็นผล BTSC ยืนกรานตัวเลขเดิม ไม่ลดให้ ด้านผู้ว่าฯยันเตรียมดูเงินสะสมที่มี-เงื่อนไขกฎหมายก่อนจ่าย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 15 กันยายน 2568 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยแรก (ครั้งที่ 1) พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (บางส่วน) รายงานผลการศึกษาของรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการฯ ถึงปัญหาของโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน - บางหว้าและช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง - เคหะสมุทรปราการและช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต
@ผ่าหนี้เดินรถบักโกรก 3.2 หมื่นล้านบาท
โดยรายงานระบุว่า กทม. มีภาระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ค้างชำระจำนวนมาก แบ่งเป็น ช่วงฟ้องครั้งที่ 2 (มิถุนายน 2564 – ตุลาคม 2565) โดยบมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) กทม. ต้องจ่ายรวม 12,245 ล้านบาทโดยส่วนต่อขยายที่ 1 เป็นเงินต้น 2,279 ล้านบาท ดอกเบี้ย 501 ล้านบาท ส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นเงินต้น 7,848 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1,617 ล้านบาท
ช่วงพฤศจิกายน 2565 – ธันวาคม 2567 ต้องชำระเพิ่มรวม 17,121 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนต่อขยายที่ 1 เงินต้น 3,242 ล้านบาท ดอกเบี้ย 274 ล้านบาทส่วนต่อขยายที่ 2 เงินต้น 12,615 ล้านบาท ดอกเบี้ย 990 ล้านบาท
ขณะที่ประมาณการปี 2568 ทั้งปี (มกราคม – ธันวาคม) ต้องชำระอีก 8,361 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,612 ล้านบาทและส่วนต่อขยายที่ 2 อีก 6,149 ล้านบาท
รวมภาระหนี้ทั้งหมดทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงถึง 31,522.8 ล้านบาท เป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อเสถียรภาพการเงินของ กทม.
โดยทางกทม. มอบหมายให้บจ.กรุงเทพธนาคม (KT)เจรจากับ BTSC แล้ว 4 ครั้ง โดยเสนอแนวทางชำระหนี้ตาม “ต้นทุนจริง” ซึ่งต่ำกว่าสัญญา 18% แต่การเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ BTSC ไม่ยอมรับข้อเสนอ ผลสรุปการเจรจามี 4 ทางเลือก เช่น ขอให้ถอนฟ้องแลกกับการชำระหนี้ หรือหากไม่ยอม ต้องไปหาข้อยุติที่ศาลปกครองกลางรวมถึงการขอให้ลดดอกเบี้ย แต่หากไม่ยอม กทม. จะจ่ายเฉพาะต้นทุนก่อน
ขณะที่ทาง BTSC เสนอให้ กทม. ชำระตรงภายใน ตุลาคม 2568 ครบทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อยุติปัญหาความซ้ำซ้อนทางการเงิน หากเงินไม่พอ ต้องนำไปตัดดอกเบี้ยค้างก่อน แล้วจึงตัดเงินต้น และหากผิดนัดชำระ อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้น กลับไปใช้อัตรา MLR+1% เช่นเดียวกับในคดีแรก
โดยคณะกรรมการวิสามัญฯ มีความเห็นว่า ดอกเบี้ยที่พอกพูนจะยิ่งซ้ำเติมภาระการเงินของกทม.ให้หนักขึ้น พร้อมชี้ว่าคดีในศาลปกครองกลางมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับคดีแรก ซึ่งเคยมีคำพิพากษาให้ BTSC ชนะและได้รับสิทธิ์ชำระหนี้ ดังนั้น จึงเสนอให้ฝ่ายบริหารเร่งดำเนินการเจรจาโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยบานปลาย และรักษาผลประโยชน์สูงสุดแก่ กทม.
นายชัชชาติกล่าวว่า หลังจากรับทราบรายงานแล้ว ก็จะเตรียมตรวจสอบเงินสะสมจ่ายขาดและเงื่อนไขทางกฎหมายทั้งหมดพร้อมเร่งหาข้อยุติ คาดว่าจะมีความคืบหน้าภายใน 30 วัน ก่อนนำกลับมารายงานต่อที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา