
กห.กัมพูชาแถลงโต้ฝ่ายไทย กังขาผู้นำกองทัพไทยตั้งใจให้ทหารลาดตระเวนไปผิดทาง ส่งผลทำให้โดนกับระเบิด หลังฝ่ายไทยโวยอ้างทุ่นระเบิดเป็นของใหม่ ด้าน กต.ไทยแถลงประณามยืนยันทุ่นระเบิดเป็นของใหม่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาว่า วันที่ 20 ก.ค. 2568 กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ข้อกล่าวหาของฝ่ายไทยที่อ้างว่ากัมพูชามีส่วนในการฝังกับระเบิด ซึ่งทหารไทยไปเหยียบจนได้รับบาดเจ็บสามนายเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยพื้นที่ซึ่งมีกับระเบิดนั้นอยู่ที่ หมู่บ้านเตชมกต ตำบลมรกต อำเภอชมกสัน จังหวัดพระวิหาร
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาตั้งคำถามว่า ผู้นำกองทัพไทยตั้งใจส่งทหารไปลาดตระเวนในทิศทางที่ผิดจริงหรือไม่ แม้จะทราบล่วงหน้าว่าอาจเผชิญกับทุ่นระเบิดซึ่งเป็นเศษซากของสงครามที่กัมพูชาเคยเตือนไว้บ่อยครั้ง หรือเป็นเพียงความพยายามสร้างความตึงเครียดที่อาจผลักดันสถานการณ์ให้เผชิญหน้ากัน
ที่น่าสังเกตคือ กัมพูชาได้กระตุ้นให้ฝ่ายไทยปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับเส้นทางลาดตระเวนอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ยังคงมีทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิดอยู่จำนวนมาก ซึ่งแม้แต่พลเมืองกัมพูชาก็ได้รับผลกระทบ อันที่จริง ทหารไทยได้ละเมิดข้อตกลงที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2543 (MOU-2000) และได้ดำเนินการลาดตระเวนที่เบี่ยงเบนไปจากเส้นทางเดิม โดยการสร้างเส้นทางใหม่เข้าไปในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1/200,000 อันเป็นผลมาจากการกำหนดเขตแดนอินโดจีน-สยามตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2447 และสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2450 จนต้องเผชิญกับอันตรายจากระเบิดที่หลงเหลือจากสงคราม
การเคารพอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศไม่อาจเป็นเพียงคำพูดที่ปราศจากการกระทำได้ ดังนั้น กัมพูชาจึงเรียกร้องให้ฝ่ายไทยปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2000 อย่างเคร่งครัด และใช้กลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ รวมถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนระหว่างสองประเทศ เพื่อนำมาซึ่งสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืน และป้องกันอันตรายหรือการสูญเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์
กระทรวงกลาโหมกัมพูชายังคงเรียกร้องให้ฝ่ายไทยหยุดกิจกรรมทั้งหมดที่เป็นการละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาและหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นภัยคุกคามต่อการรักษาสันติภาพตามแนวชายแดน
ในฐานะประเทศที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด กัมพูชามีบทบาทอย่างแข็งขันในการปฏิบัติตามพันธกรณีในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) กัมพูชาได้รับการยอมรับและยกย่องอย่างสูงจากประชาคมโลก ไม่เพียงแต่ความสำเร็จในการกำจัดและทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกประเภทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในความพยายามกำจัดทุ่นระเบิด โดยกัมพูชาได้มีส่วนร่วมกับสหประชาชาติในการช่วยเหลือประเทศที่เคยและกำลังได้รับผลกระทบจากสงครามอีกด้วย
ในโอกาสนี้ กระทรวงกลาโหมและกองทัพกัมพูชาขอเน้นย้ำการสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อจุดยืนของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดนกับไทยโดยสันติและยึดตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงการฟื้นคืนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโตช วัดตากระบี และพื้นที่หม่อมเตย ตลอดจนความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาโดยไม่สูญเสียแม้แต่มิลลิเมตรเดียวไม่ว่าจะด้วยราคาใดก็ตาม
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวเพิ่มเติมว่าการตอบโต้ของกระทรวงกลาโหมกัมพูชานั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ทางฝ่ายไทยได้ออกมาอ้างว่าทุ่มระเบิดซึ่งนำไปสู่การบาดเจ็บของทหารสามนายนั้นเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกฝังใหม่
โดยพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นระเบิดใหม่ที่วางตามแนวชายแดนระยะ 100-150 เมตร ซึ่งจากนี้ กองกำลังสุรนารีจะเร่งเก็บกู้ทั้งหมดด้วยความระมัดระวัง เพราะอยู่ในแผ่นดินไทย จากนั้นจะทำรายงานส่งรัฐบาล เพื่อยื่นประท้วงกัมพูชาผ่าน "ยูเอ็น" ว่า คู่กรณีเป็นฝ่ายวางทุ่นระเบิด
ด้านพันเอก สมโชค จันทาสี ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 บอกว่า ทางหน่วยฯ ได้นำกำลัง 7 นายเข้าพิสูจน์ และตรวจสอบทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่ทหารไทยเหยียบ โดยพบ 2 จุด กระจาย 8 ทุ่น จุดแรก 3 ทุ่น และจุดหลัง 5 ทุ่น โดยมีใบไม้วางปกปิดในรัศมี 40-90 เซนติเมตร ยืนยันเป็นทุ่นระเบิดใหม่ เพราะตัวอักษรยังชัดเจนอยู่
ส่วนพลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า จากการตรวจที่เกิดเหตุ ชัดเจนแล้วว่าทุ่นระเบิดที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นทุ่นระเบิดที่มีการวางขึ้นใหม่
ข้อมูลนี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สนับสนุนความชอบธรรมของฝ่ายไทย ในการดำเนินมาตรการตอบโต้ต่อฝ่ายกัมพูชา ทั้งในด้านการทหาร และด้านการต่างประเทศต่อไป
ต่อมาในช่วงเย็นที่กระทรวงการต่างประเทศไทย นายนิกรเดช พลางกูล อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวโดยระบุว่ากรณีเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 เกิดเหตุการณ์กำลังพลของไทยเหยียบกับระเบิดระหว่างลาดตระเวน ในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย โดย 1 นายข้อเท้าซ้ายขาด ปัจจุบันทหารทุกนายอาการปลอดภัย และอยู่ระหว่างการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล กระทรวงการต่างประเทศได้แถลงแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านี้ แต่ขอให้ทหารไทยทุกนายที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นตัวโดยเร็ว
สำหรับประเด็นเรื่องทุ่นระเบิดในพื้นที่กองทัพบก และกองทัพภาคที่สอง ได้แถลงไปเมื่อเมื่อวานนี้ 19 กรกฎาคม ภายหลังการตรวจสอบของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ยืนยันว่า ทุ่นระเบิด 8 ลูกที่พบ เป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ และไม่มีในการใช้งาน หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย ในขณะที่วันนี้ได้มีการประชุมฝ่ายเลขานุการของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ซึ่งเป็นการประชุมระดับปฏิบัติ เพื่อแลกเปลี่ยน และจัดเตรียมข้อมูลเพื่อนำเสนอแนวทางการดำเนินการในด้านต่าง ๆ ให้ที่ประชุม ศบ.ทก. ที่กำหนดประชุมในวันพรุ่งนี้พิจารณาต่อไป เรื่องนี้มีรายละเอียดค่อนข้างมาก และมีกรอบการดำเนินการหลายกรอบ ฝ่ายไทยจะต้องพิจารณาให้รอบคอบถึงแนวทางการดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป
กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ เรื่องการประท้วงการใช้ทุนระเบิดสังหารบุคคล ตามที่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติในดินแดนไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น
รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคง ว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าทุ่นระเบิดที่พบไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำสู่ข้อสรุปได้ว่าเป็นการวางระเบิดสังหารบุคคล ที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณี ภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาจะดำเนินการตามกระบวนการใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชา ผ่านกลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่และขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดน ตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี
นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า ขณะนี้สถานการณ์มีความละเอียดอ่อน การสื่อสารในสังคม โดยเฉพาะในช่องทางสื่อสารสังคมออนไลน์ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด หรือสร้างความแตกแยกโดยไม่ตั้งใจ กระทรวงการต่างประเทศ ขอให้สังคมเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติจากทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายความมั่นคง เพื่อความสามัคคีกันของคนในชาติซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้
เรียบเรียงจาก:https://dap-news.com/national/2025/07/20/523551

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา