
รฟท.เคาะเส้นทางรถไฟทางคู่สายใหม่ช่วงสุพรรณบุรี - นครหลวง - บ้านภาชี ระยะทาง 73 กม. ดันศึกษา EIA จบปี 70 ก่อนชงครม.อนุมัติโครงการปี 71 เปิดอุปสรรคงานสิ่งแวดล้อมพาดผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ ผ่านโรงเรียน-วัด-โรงพยาบาลหลายแห่ง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 2 มิถุนายน 2568 แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากที่รฟท.ได้ดำเนินงานศึกษาความเหมาะสม โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ ช่วงสุพรรณบุรี - นครหลวง - ชุมทางบ้านภาชี ขณะนี้ ได้ข้อสรุปการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้น (Prelliminary Design ) และคัดเลือกแนวเส้นทางที่เหมาะสมแล้ว รวมถึงจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยโครงการทางรถไฟสาย สุพรรณบุรี-บ้านภาชี อยู่ในโครงการรถไฟทางคู่ระยะถัดจากรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 โดยเป็นแผนเร่งด่วนลำดับต้นๆ ซึ่งตามผลศึกษาพบเป็นเส้นทางที่มีความคุ้มค่าและเป็นโครงข่ายสำคัญในการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟที่มีในปัจจุบัน และรองรับ การขนส่งสินค้า จากภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ไปยังท่าเรือแหลมฉบัง และไปยังภาคใต้ โดยไม่ผ่านกรุงเทพฯและปริมณฑล และเห็นว่า ควรศึกษา พัฒนา เส้นทางช่วง สุพรรณบุรี-หนองปลาดุก ซึ่งปัจจุบันเป็นทางเดี่ยวให้เป็นทางคู่ตลอดสาย แก้ปัญหาคอขวด ในอนาคต
@ตั้งงบ 57 ล้านออกแบบรายละเอียด - ศึกษา EIA
แหล่งข่าวกล่าวว่า โดยตามแผน ทางรถไฟ ช่วงสุพรรณบุรี - นครหลวง - ชุมทางบ้านภาชี ดำเนินการความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้น ระยะเวลา 300 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. 2567- วันที่ 11 มิ.ย. 2568 จะเป็นการศึกษาออกแบบรายละเอียดและการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ปี 2568-2569 วงเงิน 57 ล้านบาท (งบผูกพัน ปี 68 วงเงิน 11.4 ล้านบาท ปี 69 วงเงิน 45.6 ล้านบาท ) ขอความเห็นชอบรายงาน EIA ปี 2570 นำเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ขออนุมัติโครงการในปี 2571 ออกพ.ร.ฎ.เวนคืนและเริ่มก่อสร้างในปี 2572เปิดให้บริการในปี 2576
“ทางจังหวัด และผู้ประกอบการในพื้นที่ มีความต้องการขนส่งสินค้าจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยลดปริมาณรถบรรทุกบนถนนเส้นทางได้มาก แม้จะต้องเวนคืนตลอดเส้นทางแต่ผลศึกษา ระบุว่ามีความคุ้มค่า” แหล่งข่าวบอก
@เคาะแนวเส้นทางที่ 3 เหมาะสมที่สุด เวนคืนตัดเส้นทางใหม่ 65.50 กม.
แหล่งข่าวจากรฟท.กล่าวต่อไปว่า ผลการศึกษาพบว่าแนวเส้นทางที่มีความเหมาะสมและได้คะแนนรวมสูงสุด คือทางเลือกที่ 3 จุดเริ่มต้นโครงการ ออกจากสถานีสะแกย่างหมู มุ่งทิศเหนือ ก่อสร้างทางคู่ใหม่ตามทางแนวเดิมจนถึงประมาณกม.ที่ 2+346 จากนั้นเบี่ยงขวาออกจากทางรถไฟเดิมก่อนถึงจุดตัดทางรถไฟกับทางหลวงหมายเลข 357 (ทางเลี่ยงเมืองสุพรรณบุรี) ประมาณ 4.5 กม. มุ่งทิศตะวันออก ขนานทางหลวงหมายเลข 357 ข้ามแม่น้ำท่าจีน ผ่านทางหลวงหมายเลข 340 ผ่านทุ่งรับน้ำทุ่งผักไห่ ผ่านทางหลวงหมายเลข 3454 ข้ามแม่น้ำน้อย ผ่านทุ่งรับน้ำทุ่งป่าโมก ผ่านทางหลวงหมายเลข 3412 ข้ามคลองบางหลวงผ่านทุ่งรับน้ำทุ่งบางบาล ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านทางหลวงหมายเลข 309 บริเวณด้านทิศใต้ห่างจากตัวเมืองของอำเภอป่าโมก ประมาณ 6 กม. ผ่านทุ่งรับน้ำทุ่งบางกุ้ง ผ่านทางหลวงหมายเลข 347 และทางหลวงหมายเลข 32 ข้ามแม่น้ำลพบุรี แล้วจึงเบี่ยงแนวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามแม่น้ำป่าสัก ผ่านทางหลวงหมายเลข 3063 รองรับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และการขนส่งสินค้าทางเรือ ของท่าเรือในเขต อ.นครหลวง แล้วจึงเข้าเชื่อมต่อทางรถไฟเดิมบริเวณก่อนถึงสถานีพระแก้ว ประมาณ กม.ที่ 67+952 จากนั้นทำการปรับปรุงทางเดิมจาก 3 ทางให้เป็น 4 ทาง จนเข้าบรรจบกับทางรถไฟเดิมบริเวณย่านสถานีชุมทางบ้านภาชี มีจุดสิ้นสุดที่สถานีชุมทางบ้านภาชี ประมาณ กม.ที่ 73+800
โดยเป็นแนวเส้นทางที่ใช้เขตทางเดิมบริเวณช่วงต้นโครงการระยะทางประมาณ 2.40 กม.เส้นทางตัดใหม่ที่ต้องมีการเวนคืนประมาณ 65.50 กม. และใช้เขตทางเดิมบริเวณปลายโครงการระยะทางประมาณ 5.90 กม. รวมระยะทางโครงการ 73.80 กม.

แนวเส้นทางของโครงการ โดยเส้นทางที่สามที่เลือกไว้คือสายสีน้ำเงิน
มีตำแหน่งสถานีทั้งหมด 4 สถานีได้แก่ สถานีสะแกย่างหมู สถานีสุพรรณบุรี (ใหม่) สถานีบ้านกุ่มท สถานีบางปะหัน พร้อมกับลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (CY) อีก 3 แห่งคือ CY สะแกย่างหมู CY บางปะหัน และ CY บ้านภาชี ทั้งนี้ประเมินต้องเวนคืนที่ดินประมาณ 3,448 ไร่ และรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างประมาณ 161 หลัง
การคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร ในเส้นทางดังกล่าว ในปีเปิดให้บริการ รวมประมาณ 2.7- 4.6 ล้านคน/ปีเพิ่มขึ้น เป็น 5.9 ล้านคนในปี 2580 คาดว่ามีปริมาณสินค้าใช้เส้นทาง ในปีแรก ประมาณ 7-11 ล้านตัน/ปี เพิ่มขึ้น เป็น 9.1-13.9 ล้านตัน ในปี 2580
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากผลการศึกษาเบื้องต้น รถไฟทางคู่เส้นทางใหม่นี้อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี, อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา โดยมีพื้นที่ที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมใน 3 จังหวัดจำนวน 11 อำเภอ 64 ตำบล ซึ่งแนวเส้นทางอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ 4 แห่ง ได้แก่ ที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่าง, แม่น้ำป่าสัก, แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนั้นยังมีพื้นที่อ่อนไหวอีกด้านสิ่งแวดล้อม 28 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียน 11 แห่ง วัด 13 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีก 3 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้มีวัดอู่ทอง ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ที่รอขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานกับกรมศิลปากร

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา