
DSI เผยคดีฮั้ว สว. พบเครือข่ายขบวนการอั้งยี่ฟอกเงิน 1,200 รายทั่วประเทศ เร่งสอบสวน ก่อนพิจารณาออกหมายเรียกผู้ต้องหากลุ่มแรก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2568 พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษก DSI เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีฮั้ว สว.67 ว่าสำหรับกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ DSI 3 ราย ไปร่วมเป็นเจ้าหน้าที่ในคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนกับทาง กกต. นั้นว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาที่เห็นเจ้าหน้าที่ DSI ลงไปปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ กกต.ส่งหนังสือเชิญให้ถ้อยคำเป็นเรื่องการปฏิบัติภายใต้ภารกิจของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ที่มีการขอให้ DSI ไปเป็นคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน จึงต้องขอความร่วมมือมา DSI เพื่อร่วมปฏิบัติการส่งเอกสาร
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าว DSI รับผิดชอบเพียงที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร แต่ต่างจังหวัดจะเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. และตำรวจท้องที่ในส่วน DSI ที่ต้องร่วมสอบสวนปากคำกับ กกต. ในกฎหมายการเลือกตั้ง (พ.ร.ป.สว.61) หากดูตามเนื้อหาบุคคลที่ถูกเรียกหรือมีหนังสือให้เข้ามาชี้แจงข้อกล่าวหาจะต้องทำหนังสืออธิบายรายละเอียดต้องดูว่านอกจากหนังสือแล้วเจ้าตัวประสงค์เข้าให้ถ้อยคำประกอบเพิ่มเติมหรือไม่ หากมีก็จะทำให้เจ้าหน้าที่DSI 3 รายที่ไปร่วมเป็นกรรมการสืบสวนและไต่สวนจะต้องร่วมสอบสวนปากคำด้วย
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวถึงประเด็นที่ DSI ทั้ง 3 รายไปร่วมเป็นกรรมการสืบสวนและไต่สวนกับ กกต. ความผิดตาม พ.ร.ป.สว.61 หากเป็นประเด็นข้อซักถามของ DSI นั้น ว่า จะเน้นในส่วนที่เป็นประโยชน์ในรูปคดีของDSI เองเพราะทั้ง 3 รายที่ไปร่วมเป็นกรรมการสืบสวนและไต่สวนอยู่ในชุดคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 ความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) รวมถึงผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ เช่นเดียวกัน ดังนั้น จะเห็นข้อมูลอันเป็นประโยชน์ทางคดีในเรื่องของการฟอกเงินและอั้งยี่ น่าจะเอามาใช้ประโยชน์ในคดีได้ ส่วนประเด็นที่ DSI ต้องการนำมาเข้าสำนวนคดีอั้งยี่ฟอกเงินด้วยนั้น ก็ต้องรอดูบันทึกการแจ้งข้อหาของ กกต. ว่ามีการระบุพฤติการณ์ใดบ้าง เนื่องจากเวลาชี้แจงต้องชี้แจงข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์ที่ กกต. แจ้งระบุ
พ.ต.ต.วรณัน เปิดเผยอีกว่าสำหรับพฤติการณ์การสมคบกัน อั้งยี่ฟอกเงินนั้น "การอั้งยี่" คือ การกระทำของกลุ่มบุคคลที่มีการปกปิดวิธีการเพื่อกระทำการผิดกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งประเด็นดังกล่าวจึงไปเกี่ยวข้องกับภารกิจของ กกต. เพราะเป็นการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่าบริสุทธิ์หรือเที่ยงธรรมหรือไม่ ซึ่งมีบทบัญญัติความผิดอยู่ อย่างไรก็ดี ส่วนนี้จะมาเกี่ยวข้องกับกฎหมายฟอกเงินด้วย เพราะมาตรา 3(10) ได้กำหนดไว้ว่าคดีมูลฐานอั้งยี่ คือ หนึ่งฐานความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน เมื่อมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องจากการอั้งยี่ดังกล่าว จึงเป็นเรื่องเชื่อมโยงกัน
ส่วนเรื่องการแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน DSIจะดูเรื่องเส้นทางการเงิน การได้มาซึ่งทรัพย์สินต่าง ๆ การทำธุรกรรมทางการเงิน และนิติกรรม ทั้งในช่วงก่อน ระหว่างและหลังการกระทำความผิดอั้งยี่ หรือตั้งแต่การเลือก สว.ระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ ฉะนั้น หากมีการเข้าไปใช้เงินสนับสนุนความผิดมูลฐาน ก็จะถูกพิจารณาดำเนินคดีฟอกเงินไปด้วย องค์ประกอบจะอยู่ในกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 จนถึงมาตรา 9
พ.ต.ต.วรณัน เปิดเผยว่า ตามรายงานการสืบสวนสอบสวน DSI ที่ด้รับข้อมูลปัจจุบันพบว่ามีกลุ่มเป้าหมายเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเรื่องเส้นทางการเงินหรือเป็นบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยประมาณ 1,200 ราย โดยทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องในขบวนการ ซึ่งมาจากพยานหลักฐานเรื่องเส้นทางการเงินตามที่พนักงานสอบสวนมีเหตุอันควรสงสัย และมองว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องควรที่จะเข้ามาชี้แจง จึงเล็งเห็นว่าจะต้องมีการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินหลังจากนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับกลุ่มบุคคลที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหานำพยานหลักฐานมาชี้แจงว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่มองกับสิ่งที่เขามี มันไม่ใช่ มันไม่ตรงกันอย่างไรบ้าง เพื่อจะนำไปสู่การพิจารณาสั่งคดีตอนท้าย แต่ในตอนนี้มีการสอบสวนปากคำไปแล้วประมาณ 70 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างทยอยดำเนินการต่อเนื่อง
ส่วนกระแสข่าวว่าในช่วงสิ้นเดือน พ.ค.นี้ ทาง DSI จะทยอยออกหมายหมายเรียกผู้ต้องหากลุ่มแรกในคดีอั้งยี่ ฟอกเงิน ให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาชี้แจง และปัจจุบันDSI มีจำนวนกลุ่มเป้าหมาย 1,200 ราย เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งหมดจะมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า 1,200 รายเป็นเรื่องของการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งท้ายสุดอาจจะมีเพียงบางส่วนที่จะถูกพิจารณาว่ามีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน เนื่องจากต้องมาพิจารณาเป็นรายบุคคล และต้องดูเหตุอย่างอื่นประกอบ อย่างไรก็ตาม การทำงานของDSI และ กกต. จะมีลักษณะแตกต่างกัน
เนื่องจาก กกต. จะเน้นประเด็นเรื่องการได้มาซึ่ง สว. ที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม หรือมีเหตุสงสัย จึงเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา และจะส่งให้ศาลพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องของการตัดสิทธิ์ ขณะที่การทำงานของDSIจะเน้นประเด็นกระบวนการทางคดีอาญา ดังนั้นการที่จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาแก่บุคคลใด พนักงานสอบสวนจะต้องมีพยานหลักฐานตามสมควรก่อน
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ปัจจุบันคดีฮั้ว สว. ในมือของ DSI มี 2 ข้อกล่าวหา 1.เป็นการกระทำอั้งยี่หรือไม่ และ 2.เส้นทางการเงินที่พบอยู่ภายใต้ความผิดอั้งยี่หรือไม่ จึงจะเป็นเรื่องกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งพนักงานสอบสวนต้องดูทั้ง 2 ประเด็น ทั้งนี้ในส่วนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.)จะเป็นเรื่องมาตรการการดำเนินการทางทรัพย์สิน ซึ่งDSIอาจจะประสานการปฎิบัติในเรื่องทางแพ่งกับ ปปง. แต่ในทางอาญา การพิสูจน์หาผู้รับโทษ DSIจะเป็นผู้ดำเนินการ
เมื่อถามว่าหากสว. รายใดถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย พ.ร.ป.สว.61 มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะถูกพิจารณาข้อกล่าวหาในคดีอาญาอย่างอั้งยี่ ฟอกเงิน ที่DSI รับผิดชอบด้วย พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่าต้องดูตอนสอบสวน หากข้อเท็จจริงไปถึงก็ต้องนำไปสู่กระบวนการต่อไปในภาพใหญ่ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญามี 6 ขั้นตอน คือ
- การถูกกล่าวหา
- การรวบรวมพยานหลักฐานตามที่ถูกกล่าวหา และข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาว่ารับฟังได้หรือไม่
- หากรับฟังได้ว่ามีข้อเท็จจริงเพียงพอก็จะนำไปสู่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 การกระทำอันเป็นความผิดและใครมีเหตุสมควรถูกแจ้งข้อกล่าวหา
- เมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้วไม่มารับทราบข้อกล่าวหาหรือให้การชี้แจง ก็จะเป็นขั้นตอนของการออกหมายจับ เพื่อควบคุมตัว
- เมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้วก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาได้นำข้อเท็จจริงมาชี้แจงหักล้าง
- รับฟังคำชี้แจง ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและสั่งคดีตามข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ ภายในสิ้นเดือน พ.ค. จะเห็นรายชื่อผู้ต้องหากลุ่มแรกในฐานความผิดอั้งยี่ ฟอกเงินหรือไม่ คงต้องให้เวลาพนักงานสอบสวนดำเนินการก่อน
ส่วนกรณีที่อธิบดีDSI ลงนามในหนังสือขอความร่วมมือ รับการสนับสนุนภารกิจการสอบสวนปากคำพยานในคดีฮั้ว สว. ส่งไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า รายละเอียดภายในเอกสารคือการอธิบายกฎหมายว่าDSI ดำเนินการอะไรได้บ้างต้องเรียนว่าไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานกระทรวงมหาดไทย หรือตำรวจ ล้วนมีหน่วยงานภายในท้องที่ทั่วประเทศ ดังนั้น ความเข้าใจในเรื่องกฎหมายอาจจะไม่เหมือนกัน DSIเมื่อมีหนังสือไปจึงเป็นการบอกถึงการทำงานของDSIเองและบอกถึงขอบเขตอำนาจหน้าที่ จะชัดเจนไม่ต้องไปตีความกัน ส่วนถ้าหากขอความร่วมมือไปแล้วไม่ได้รับความร่วมมือนั้น ตนมีความเชื่อมั่นว่าในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐเหมือนกันมองว่าเรื่องความร่วมมือไม่ใช่ปัญหา
"ภายหลังจากที่รับเอกสารของผู้ร้องแล้วก็จะนำเข้าสู่ขั้นตอนการประมวลเรื่องโดยกองบริหารคดีพิเศษ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดก่อนนำเสนอไปยังอธิบดี DSI เนื่องจากเรื่องที่ผู้ร้องนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีฮั้ว สว. ที่ DSI อยู่ระหว่างดำเนินการ แต่เป็นประเด็นเกี่ยวกับเรื่องเงินค่าสมัครสมาชิกวุฒิสภา 2,500 บาท" พ.ต.ต.วรณัน กล่าว
‘พล.ท.ยอดชัย’ ร้อง DSI สอบเงินสมัคร สว. 2,500 บาท ผิดปกติ เผยมีผู้สมัครส่งซิกวันลงคะแนน
ในวันเดียวกันนี้ พล.ท.ยอดชัย ยั่งยืน อดีตรอง ผอ.รมน.ภาค 4 ในฐานะอดีตผู้สมัคร สว.อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เดินทางเข้ายื่นเอกสารหลักฐานต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI เพื่อให้สืบสวนสอบสวนความผิดปกติในการเลือก สว.ระดับอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา รวมทั้งปัญหาเรื่องเงินค่าสมัคร 2,500 บาท ที่จะเชื่อมโยงถึงการเลือกตั้งแบบจัดตั้ง โดยมี พ.ต.ต.วรณัน เป็นผู้แทนรับเรื่อง
พล.ท.ยอดชัย กล่าวว่ามายื่นสำเนาเอกสาร 7 รายการต่ออธิบดีDSI ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดไม่นำเงินค่าสมัคร สว.เข้าเป็นรายได้แผ่นดิน จำนวน 2,500 บาท เนื่องจากตามระเบียบของ กกต. แล้วจะต้องนำเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน แต่เท่าที่ตรวจสอบโดยการสอบถามไปยัง ปปช. และ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตนยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา จึงมีข้อสงสัยว่าเงินจำนวนดังกล่าว ตามระเบียบแล้วจะต้องนำเข้าคลังจังหวัดภายในเวลา 3 วัน จากนั้นทางคลังจังหวัดจึงจะส่งไปยังกระทรวงการคลัง แต่ตรวจสอบไปยังกระทรวงการคลังพบว่ายอดเงินไม่มีเข้าในบัญชีงบประมาณกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ตั้งข้อสงสัยว่ากรณีที่เงินค่าสมัครไม่ถูกนำเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน เนื่องจากมีการแจ้งว่ารับเฉพาะเงินสดเท่านั้น แต่ตามระเบียบแล้ว สามารถรับในรูปแบบเช็คได้ นอกจากนี้ยังส่งเรื่องไปยัง สตง. ว่ามีเงินนำเข้าเป็นรายได้แผ่นดินหรือไม่ เนื่องจากมียอดเงินไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท โดยทาง สตง. ตอบกลับว่า เป็นการเสนอเรื่องที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์จึงเสนอไปยัง ปปช. แต่ก็ยังไม่มีคำตอบกลับมาจึงรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดส่งต่อไปยังDSIช่วยตรวจสอบหากเงินค่าสมัครดังกล่าวไม่ถูกนำเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน แล้วถูกนำไปใช้อย่างอื่น มันจะเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นความไม่ชอบธรรม มีการสร้างเครือข่าย เป็นการฮั้วหรือไม่
พล.ท.ยอดชัย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เหตุผลที่มายื่นให้ตรวจสอบไม่ใช่อยู่ดี ๆ มายื่นตรวจสอบ แต่เพราะยื่นเรื่องตั้งแต่มีติดรายชื่อผู้สมัคร สว.ระดับอำเภอบนป้ายบอร์ด ให้เกิดการตรวจสอบว่ารายชื่อทั้งหมดนั้น ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 หรือไม่ ซึ่งทำเรื่องท้วงติงไปยังอำเภอแต่ทางอำเภอก็ดำเนินการไปเรื่อย ๆ จนการเลือก สว.เสร็จสิ้น จนส่งเรื่องคัดค้านไปยัง กกต. ว่าการเลือก สว.นี้เป็นโมฆะเพราะเจ้าหน้าที่ กกต. ไม่ตรวจสอบหลักฐาน สว. 4 ซึ่งเป็นหลักฐานเอกสารเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญ และยังตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 108 ไม่ถูกต้อง เพราะมาตรา 108 ระบุว่าผู้ที่สมัคร สว.จะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ หรือทำงาน 10 ปี แต่มันต้องไม่ใช่เป็นการเอาลูกจ้างเข้ามา โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพที่ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับตนนั้น พบว่าหลายคนมีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กำหนด บางคนเป็นข้าราชการครู บางคนเป็นข้าราชการกรมชลประทาน บางคนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้ยังมีลูกจ้างเทศบาลด้วย
พล.ท.ยอดชัย กล่าวอีกว่า ในที่มีการเลือก สว.ะดับอำเภอหาดใหญ่ ที่มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ พบความผิดปกติ การดำเนินการหละหลวม อาทิส่งซิกในห้องกันอย่างเปิดเผย ซึ่งถึงแม้จะมีกล้องวงจรปิด ก็ควรมีการตรวจสอบ เพราะหากไปย้อนดูในการประชาสัมพันธ์ จะมีการเข้มงวดมาก ไม่ว่าจะเป็นการใส่เสื้อสีเดียวกัน หรือการนั่งจับกลุ่มกัน การส่งสัญญาณ จะไม่สามารถดำเนินการได้ แต่พอในการปฏิบัติจริง ผู้สมัครกลับมีการชี้นิ้วให้ลงคะแนนให้แก่กัน แต่ตนไม่เห็นโพย เห็นเพียงการส่งซิกให้กันอย่างน่าเกลียด ดังนั้นมองว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดด้วย เพราะวันดังกล่าวไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ กกต. จังหวัดมาตรวจสอบความเข้มงวดมาก มีแค่เดินไป-มา และเจ้าหน้าที่ กกต.ระดับอำเภอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไร

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา