
‘ครม.’ เห็นชอบข้อเสนอแนะ ‘คกก.พัฒนากฎหมาย’ ชงปรับปรุง ‘พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าวฯ’ จากมุ่ง ‘ปกป้อง’ มาเป็นการ ‘เสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน’ หวังสนับสนุน 'ธุรกิจสตาร์ทอัพ'
...................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ครม. มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
สำหรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ นั้น คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย มีข้อเสนอแนะให้ ครม. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 โดยเปลี่ยนจาก “การปกป้อง” เป็น “การเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน” โดยคำนึงถึงศักยภาพและการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจต่างๆ ด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้รายงานที่ประชุม ครม. ถึงที่มาในการจัดทำข้อเสนอแนะ เรื่อง การปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ว่า พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ตราขึ้นเพื่อปรับปรุงประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พ.ย.2515 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เนื่องจากประกาศดังกล่าว มีหลักการบางประการไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศในขณะนั้น จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเสียใหม่ทั้งฉบับ เพื่อให้มีการแข่งขันในการประกอบธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น อันเป็นประโยชน์กับประเทศไทยโดยส่วนรวมทั้งยังเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องกับพันธกรณีตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้วย
อย่างไรก็ดี พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดธุรกิจบางประเภทที่ห้ามคนต่างด้าวประกอบกิจการในประเทศไทย ไม่ว่าด้วยเหตุผลพิเศษ หรือเพื่อปกป้องธุรกิจที่หวงแหนไว้สำหรับคนไทย (บัญชีหนึ่ง) หรือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความปลอดภัยหรือความมั่นคงของประเทศ หรือมีผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรมจารีตประเพณี หัตถกรรมพื้นบ้าน หรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บัญชีสอง)
และธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าว (บัญชีสาม) ตลอดจนมาตรการและกลไกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการห้ามประกอบธุรกิจในบัญชีหนึ่ง และการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในบัญชีสองและบัญชีสามนั้น ใช้บังคับมาเป็นเวลาเกือบ 25 ปีแล้ว ประกอบกับสภาพการทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และพัฒนาการทางเทคโนโลยีก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหลาย 10 ปีที่ผ่านมา อย่างมาก
หลักการของ พ.ร.บ.ดังกล่าวที่มุ่งเน้นการ “ปกป้อง” ที่สอดคล้องกับกฎหมายของต่างประเทศในช่วงทศวรรษ 1970 จึงไม่สอดคล้องกับสภาพการทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการของไทยไม่เร่งพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันเนื่องจากได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้นจากกฎหมายดังกล่าว อีกทั้งมาตรการตามกฎหมายนี้ยังไม่เอื้อต่อการเคลื่อนย้ายฐานการประกอบธุรกิจแห่งอนาคต (Future business) เข้ามายังประเทศไทย ทำให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขัน (National Competitiveness) อยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ตัวอย่างเช่น การประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startup) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมในนานาประเทศอย่างกว้างขวาง ที่แทบจะไม่พัฒนาเลยในประเทศไทย
สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่ยกเป็นตัวอย่างนี้ เกิดจากการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการประกอบกิจการ ประกอบกับการพัฒนาสิ่งใหม่ขึ้นในสังคม เพื่อทดแทนสิ่งเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมทางสังคม (social innovation) และพลังทางสังคม (social vitality) ทั้งนี้ การส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จเป็นเป้าหมายสำคัญของนานานาประเทศทั่วโลก
เนื่องจากธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลต่อเนื่องให้อัตราการจ้างงานและจำนวนภาษีที่ภาครัฐจัดเก็บได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี จากข้อมูลที่ได้มีการสำรวจล่าสุดโดยศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) พบว่าธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยยังมีอัตราความสำเร็จไม่มากนัก และมูลค่าการลงทุนมีลดน้อยลงตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการปรับปรุงหลักการเกี่ยวกับการกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจ Startup เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทย และจัดทำข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากกฎหมายและกฎระเบียบของภาครัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยตรง
ประกอบกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2566 ได้เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศและส่งเสริมคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยรัฐบาลจะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ อาทิ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศ เพื่อให้เป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศ
และเพื่อการดังกล่าว รัฐบาลจะจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อลงทุนพัฒนาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจใหม่ อันเป็นการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ที่กำหนดให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐานผู้ประกอบการยุคใหม่
โดยรัฐบาลจะสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการยุคใหม่ ที่มีทักษะและจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการแข่งขันและมีอัตลักษณ์ชัดเจน ให้มีโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินโอกาสในการเข้าถึงตลาด รวมตลอดทั้งโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐที่มากขึ้น
นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีนโยบายสำคัญที่มุ่งเน้นการส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศที่จะช่วยเพิ่มความสามารถทางการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า และวางรากฐานให้เศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้ รัฐบาลจะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีควบคู่ไปกับการเร่งส่งเสริมการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนและสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวจะกลับเข้าสู่ระบบภาษีที่จะนำไปใช้ในการดำเนินนโยบายต่อไปได้
คณะกรรมการพัฒนากฎหมายในคราวประชุมเมื่อวันที่ 25 มี.ค.2567 ได้พิจารณาสรุปผลการศึกษา รวมทั้งร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมธรกิจสตาร์ทอัพ พ.ศ....... ที่จัดทำและเสนอโดยคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการปรับปรุงหลักการเกี่ยวกับการกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจ Startup เห็นว่า ผู้เริ่มประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพ (Founders) มักเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) หรือในเทคโนโลยีการให้บริการทางออนไลน์ โดยเฉพาะการพัฒนาแอปพลิเคขันต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
โดยในระยะเริ่มแรก (Seed Stage) ผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพ มักเริ่มต้นธุรกิจจากการใช้เงินทุนทุนส่วนตัวหรือระดมทุนจากเครือญาติและเพื่อนฝูงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในช่วงต้นและการเริ่มหาแนวคิดในการทำธุรกิจ (Early Product and Business Ideas Development)
จากนั้นเมื่อได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และแนวคิดในการทำธุรกิจให้มีความชัดเจนแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และแนวคิดในการทำธุรกิจนั้นแก่บุคคลหรือองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้เข้ามาร่วมลงทุนและช่วยเหลือในการขยายธุรกิจต่อไป ซึ่งผู้ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพจะมีทั้งที่เป็นนักลงทุนสถาบัน (Venture Capitals) และนักลงทุนบุคคล (Angel Investors) ซึ่งอาจจะเป็นนักลงทุนไทยหรือนักลงทุนต่างชาติก็ได้
โดยหากผลิตภัณฑ์และแนวคิดในการทำธุรกิจนั้นมีความเป็นไปได้ในการสร้างผลกำไรและมีช่องทางในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนหรือหน่วยสนับสนุนต่างๆ ก็จะเข้ามาร่วมลงทุน โดยให้เงินทุนในการขยายกิจการ โดยสิ่งที่นักลงทุนและหน่วยสนับสนุนมักจะได้รับตอบแทนมักอยู่ในรูปของหุ้นในองค์กรธุรกิจที่มีการจัดตั้งขึ้น หรือการที่นักลงทุนให้ธุรกิจสตาร์ทอัพนั้น กู้ยืมเงินไปใช้ในกิจการโดยนักลงทุนที่เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิแปลงหนี้เป็นทุนในภายหลัง (Convertible Debts)
ดังนี้ เมื่อมีการระดมทุนแต่ละครั้ง เงินลงทุนจากนักลงทุนและสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพก็จะเพิ่มมากขึ้น ขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นของผู้เริ่มประกอบการก็จะลดน้อยลงไปตามลำดับ ซึ่งบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ที่กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างด้าว รวมถึงประเภทธุรกิจที่ห้ามคนต่างด้าวประกอบกิจการ อันส่งผลกระทบต่อการขยายกิจการของธุรกิจสตาร์ทอัพ และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมโดยตรง นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวที่เน้นการปกป้องยังเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจสมัยใหม่อื่นๆ อีกด้วย
ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนากฎหมายจึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีว่า เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจการค้าและเทคโนโลยีของประเทศเป็นไปได้อย่างรวดเร็วตามนโยบายและเป้าหมายของคณะรัฐมนตรี จึงจำเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ให้เป็นไปตามหลักการที่บัญญัติไว้ในมาตรา 77 และมาตรา 258 ค. ด้านกฎหมาย (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
กล่าวคือ การยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ สมควรที่ ครม.จะมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวโดยเปลี่ยนจาก “การปกป้อง” เป็น “การเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน” ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงศักยภาพและการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจต่างๆ ด้วย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา