
คลัง-พาณิชย์-มหาดไทย ถก แก้ปัญหา ‘นอมินี’ พิชัย รองนายกฯ-รมว.คลัง สั่ง ตรวจสอบ คนไทยถือหุ้น 51 % คือใคร ลงเงินจริง-เป็นนอมินีหรือไม่ พิชัย รมว.พาณิชย์ เผย ดำเนินคดีไปแล้ว 852 บริษัท ทุนจดทะเบียน 15,188 ล้านบาท เตรียมตรวจสอบ 49,000 บริษัท ถือหุ้นโดยนอมินีหรือไม่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 25 เมษายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นางสาว ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย และนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประชุมหารือ เรื่อง การแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย (Nominee)
นายพิชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึงการหารือในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหานอมินี ว่า มีกังวลต่างชาติที่จะเข้ามาถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนไม่เกิน 50 % (พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 อนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นบางประเภทได้ 49 %) ซึ่งเป็นที่น่าสงสัย เพราะหลายธุรกิจอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นเกิน 50 % อยู่แล้ว ดังนั้น บริษัทที่ถือหุ้นโดยคนต่างชาติไม่เกิน 50 % หรือ บริษัทที่มีคนต่างชาติถือหุ้นตั้งแต่ 1-49 % ต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อมาตรวจสอบดูว่า ผู้ถือหุ้นอีก 51 % คือใคร ลงเงินจริงหรือเปล่า เป็นนอมินีหรือไม่ โดยจะทำงานร่วมกันกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทย ว่า แท้ที่จริงแล้วใครคือเจ้าของเงิน
นายพิชัยกล่าวว่า นอกจากนี้การแก้ไขปัญหาระยะยาวจะมีการทบทวนกฎหมายต่าง ๆ ให้เป็นสากลมากขึ้น เพื่อให้เกิดการกำกับควบคุม ซึ่งในบางประเภทธุรกิจที่ควรอนุญาติให้คนต่างชาติได้ทำได้แล้ว ซึ่งอาจจะส่งผลดีกับประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องมีการทบทวน รวมถึงการตรวจสอบเรื่องวีซ่าของคนต่างชาติ
นายพิชัย รมว.พาณิชย์กล่าวว่า ขณะนี้มีการจับดำเนินคดีเกี่ยวกับนอมินีไปแล้ว 852 บริษัท ทุนจดทะเบียนรวม 15,188 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันพบว่า 49,000 กว่าบริษัท ที่มีต่างชาติถือหุ้นอยู่ โดยจะเข้าไปตรวจสอบว่ามีถือหุ้นโดยนอมินีหรือไม่

รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 เม.ย.68 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานผลการเพิ่มความเข้มงวดการจดทะเบียนนิติบุคคล ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 13 กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนนิติบุคคลที่ตรวจสอบ 9,161 นิติบุคคล และมาแสดงตัวต่อนายทะเบียน 13 ราย
ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีการเปิดระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบคคล ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ว่ามิจฉาชีพนำที่อยู่ไปจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหรือไม่ หากพบว่าที่อยู่ถูกนำไปใช้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำของมิจฉาชีพ และช่วยแก้ไขปัญหานิติบุคคลบัญชีม้าและนอมินี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาสังคม เรื่อง การเรียกเอกสารยินยอมให้ใช้สถานที่เป็นที่ตั้งสำนักงานนิติบุคคล เพื่อให้ผู้มีมีส่วนได้เสียแสดงความเห็นถึงผลดีผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และจะนำมาปรับขั้นตอนการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลได้อย่างรัดกุมต่อไป คาดว่าจะได้รับทราบผลประชาพิจารณ์ประมาณกลางเดือนมีนาคม 2568
อ่านประกอบ : 'พณ.'ดันร่างประกาศฯ กำหนดคุณสมบัติ'ผู้ทำบัญชี'ห้ามช่วย-ร่วมทำธุรกิจ-ถือหุ้นแทน'ต่างด้าว'
ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รายงานข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การปรับปรุงพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ให้ที่ประชุมครม.ได้รับทราบ ดังนี้
คณะกรรมการพัฒนากฎหมายในคราวประชุมเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 ได้พิจารณาสรุปผลการศึกษารวมทั้งร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ พ.ศ.... ที่จัดทำและเสนอโดยคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการปรับปรุงหลักการเกี่ยวกับการกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจ Startup เห็นว่า ผู้เริ่มประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพ (Founders) มักเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) หรือในเทคโนโลยีการให้บริการทางออนไลน์ โดยเฉพาะการพัฒนาแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
โดยในระยะเริ่มแรก (Seed Stage) ผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพมักเริ่มต้นธุรกิจจากการใช้เงินทุนส่วนตัวหรือระดมทุนจากเครือญาติและเพื่อนฝูงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในช่วงต้นและการเริ่มหาแนวคิดในการทำธุรกิจ (Early Product and Business Ideas Development)
จากนั้นเมื่อได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และแนวคิดในการทำธุรกิจให้มีความชัดเจนแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และแนวคิดในการทำธุรกิจนั้นแก่บุคคลหรือองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้เข้ามาร่วมลงทุนและช่วยเหลือในการขยายธุรกิจต่อไป ซึ่งผู้ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพจะมีทั้งที่เป็นนักลงทุนสถาบัน (Venture Capitals) และนักลงทุนบุคคล (Angel Investors) ซึ่งอาจจะเป็นนักลงทุนไทยหรือนักลงทุนต่างชาติก็ได้
โดยหากผลิตภัณฑ์และแนวคิดในการทำธุรกิจนั้นมีความเป็นไปได้ในการสร้างผลกำไรและมีช่องทางในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนหรือหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ ก็จะเข้ามาร่วมลงทุน โดยให้เงินทุนในการขยายกิจการ โดยสิ่งที่นักลงทุนและหน่วยสนับสนุนมักจะได้รับตอบแทนมักอยู่ในรูปของหุ้นในองค์กรธุรกิจที่มีการจัดตั้งขึ้น หรือการที่นักลงทุนให้ธุรกิจสตาร์ทอัพนั้นกู้ยืมเงินไปใช้ในกิจการ โดยนักลงทุนที่เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิแปลงหนี้เป็นทุนในภายหลัง (Convertible Debts) ดังนี้
เมื่อมีการระดมทุนแต่ละครั้ง เงินลงทุนจากนักลงทุนและสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพก็จะเพิ่มมากขึ้น ขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นของผู้เริ่มประกอบการก็จะลดน้อยลงไปตามลำดับซึ่งบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างด้าว รวมถึงประเภทธุรกิจที่ห้ามคนต่างด้าวประกอบกิจการ อันส่งผลกระทบต่อการขยายกิจการของธุรกิจสตาร์ทอัพและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมโดยตรง นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวที่เน้นการปกป้องยังเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจสมัยใหม่อื่นๆ อีกด้วย
ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนากฎหมายจึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะต่อครม.ว่า เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจการค้าและเทคโนโลยีของประเทศเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ตามนโยบายและเป้าหมายของครม. จึงจำเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงพ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ให้เป็นไปตามหลักการที่บัญญัติไว้ในมาตรา 77 และ มาตรา 258 ค. ด้านกฎหมาย (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กล่าวคือ การยกเลิก หรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้า เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ สมควรที่ ครม.จะมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการปรับปรงกฎหมายดังกล่าวโดยเปลี่ยนจาก “การปกป้อง” เป็น “การเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน” ทั้งนี้โดยคำนึงถึงศักยภาพและการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจต่าง ๆ ด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องประกอบ :

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา