‘ภูมิธรรม’ ไม่กังวลหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง สว. กรณีรับคดีฮั้วเป็นคดีพิเศษ ส่วนการทุจริตยาของ รพ.ทหารผ่านศึก เป็นการทำแบบลับ ไม่ต้องโจ่งแจ้งแบบฝ่ายค้าน ขณะที่การอภิปรายก็ไร้เรื่องใหม่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 27 มีนาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ได้ตั้งทีมกฎหมายอะไร หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เข้าชื่อร้องพร้อมกับพ.ต.อ.เอกทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ว่าไปแทรกแซงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งรับคดีฮั้วเลือกตั้ง สว. เป็นคดีพิเศษ เพราะไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างทำหน้าที่ และก็อยู่ในดุลยพินิจของศาลฯ ก็ขอให้รอฟัง ส่วนจะชี้แจงอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องที่ปฏิบัติตามปกติ มาทำหน้าที่เป็นประธานบอร์ด ก็ทำไปตามขั้นตอนกฎหมาย รอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
เมื่อถามว่ามีความวิตกกังวลหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่วิตกเลย ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาลฯ ที่ไม่วิตกเพราะรู้ว่าเราทำอะไร เราทำตามหน้าที่ที่ควรจะทำ เชื่อว่าประชาชนทั้งประเทศรู้ว่าทำอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในสายตาประชาชนมาตลอด ประชาชนเขารับรู้เรื่องราวต่างๆ อาจจะมากกว่าผมเสียอีก
เมื่อถามต่อว่าได้มีการประเมินหรือวิเคราะห์สถานการณ์หลังจากศาลมีคำวินิจฉัยออกมาบ้าง นายภูมิธรรม ระบุว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย วันนี้มาด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เราถือว่าบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ของเรา ไม่มีอะไรกังวลใจ เรื่องนี้เก็บไว้เลยไปรอผลพิจารณา ซึ่งก็เป็นไปตามดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องมีการยื่นหลักฐานต่างๆ ที่ดีเอสไอพิจารณาให้กับทางศาลรัฐธรรมนูญด้วยหรือไม่ นายภูมิธรรม บอกว่า เราดูตามข้อกล่าวหา ส่วนกระบวนการพิจารณาของดีเอสไอก็เป็นไปตามกระบวนของดีเอสไอ ไม่ได้หยุดเป็นคนละเรื่องกัน
@ทุจริตยา ทำเงียบๆก็ได้
ส่วนกรณีตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เข้าจับกุมพ.อ.หญิงสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและเครือข่ายทุจริตเบิกจ่ายยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก นายภูมิธรรมกล่าวว่า เวลาที่ฝ่ายค้านเรียกร้อง ได้มีการเขียนส่งไลน์ถึงตนทุกวัน ว่าทำไมไม่จัดการสักที ก็ตอบไปว่าไม่เป็นไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดำเนินการอยู่แล้ว ฝ่ายค้านไม่เคยบริหารประเทศ ก็ไม่เข้าใจว่า การที่เรากำลังมีเบาะแส ซึ่งก็ได้ขอบคุณไปตั้งแต่แรกที่ฝ่ายค้านแจ้งมา ก็กำลังสอบสวน
แต่จะให้มาเปิดเผย ถ้าเปิดเผยหลักฐานก็หายหมด และตั้งแต่ฝ่ายค้านได้พูดมาตนก็ได้ดำเนินการให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เข้ามาสืบสวนทั้งหมด เราดำเนินการอย่างเงียบๆ เอาข้อเท็จจริง เรื่องอยู่ที่ลพบุรีก็ส่งคนไปที่ลพบุรี ไปตรวจสอบไปสอบสวน จำนวนหลาย 10 คน จนเกือบถึงร้อยคนด้วยซ้ำไป ได้ทำอะไรหลายอย่าง ค่อยๆทำ และได้บอกไปแล้วว่าปลายเดือนมีนาคม จะมีการจับกุม และจากการสอบสวนพบว่ามีเครือข่ายหลายส่วน เมื่อสอบสวนเสร็จก็ได้ส่งให้ศาลออกหมายจับ เมื่อวานนี้ตนก็ทราบอยู่แล้วว่า ช่วงเที่ยงจะมีการบุกบ้านทุกบ้านพร้อมกัน เพื่อเข้าไปจับกุมแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทำงานอย่างสุขุมรอบคอบ อิงตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงไม่ใช่อิงตามอารมณ์ความรู้สึก
นายภูมิธรรม กล่าวว่าเห็นหลายคดีที่หลุดมาเพราะโวยวายกันแล้วไม่มีหลักฐานเพียงพอ ศาลก็พิจารณาตัดสินตามหลักฐาน ซึ่งที่ฝ่ายค้าน ได้ส่งหลักฐานที่แจ้งมายังตนถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ตนก็อยากเห็นแบบนั้น แต่ไม่อยากให้ใจร้อนเกินไปต้องเข้าใจวิธีปฏิบัติทางราชการ แล้วมาโวยวายหาว่าเรากำลังจะฮั้ว ทั้งที่กำลังแก้ปัญหา แล้วว่าเราแต่เราก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราจับ และจะขยายเครือข่ายมากกว่านี้
ส่วนการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ที่ฝ่ายค้านมองว่านายกรัฐมนตรียังไม่ได้ชี้แจงในหลายประเด็นนั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า หลังเสร็จอภิปรายมีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก โดยนายกรัฐมนตรีได้เรียกทุกคนรวมถึงฝ่ายค้านมาถ่ายรูปร่วมกัน เพราะเห็นว่าพวกเราร่วมกันทำงานดึกดื่นมาหลายวัน มีเพียง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ยิ้มรับเพราะคิดว่ามาถ่ายรูปด้วย แต่ผู้นำฝ่ายค้าน พูดประมาณว่าเรื่องต่างๆยังไม่จบจึงคิดว่าผู้นำฝ่ายค้านควรมีวุฒิภาวะมากกว่านี้ เพราะ สามารถตามต่อได้ในภายหลังและเป็นเรื่องที่อยู่ในสายตาประชาชนอยู่แล้วแต่การขึ้นมาในลักษณะที่ผิดปกติที่ทำกันมา พูดจาเหมือนไม่พอใจที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบทั้งที่มีเวลาในการอภิปราย และเวลาที่ขอไว้ก็ยังใช้ไม่หมดแล้วจะมาหงุดหงิดอะไร ซึ่งตามหลักการสรุปปิดอภิปรายต้องพูดในข้อเท็จจริงว่าผิดตรงไหนและต้องชี้ให้เห็นว่าเหตุใดควรที่จะไม่ไว้วางใจ ไม่ใช่มาตั้งคำถาม
“การอภิปรายของฝ่ายค้านในครั้งนี้ไม่มีอะไรใหม่ คิดตั้งแต่แรกว่าทำงานมา 6 เดือนแต่ฝ่ายค้านกลับขอเวลาอภิปรายตั้งเยอะแยะ ทั้งที่จริงๆแล้วยังไม่มีอะไร เป็นเพียงการหยิบเรื่องเก่ามาร้อยเรียงใหม่ หากจะพูดกันแค่นี้ก็เข้าไปในห้องสมุดหยิบ หนังสือพิมพ์มาเรียงแล้วเสนอได้เลย โดยมองว่าไม่มีสิ่งใหม่แต่ที่เพิ่มคือวาทกรรมและความขึงขังกิริยาที่มีความน่ากลัว ซึ่งตนเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องทำกิริยาที่เอาเป็นเอาตายแต่ควร บอกให้ชัดว่าประเด็นอยู่ตรงไหน พร้อมยอมรับว่าหลายๆเรื่องเป็นเรื่องใหม่สำหรับตน เช่นเรื่อง io แต่ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ไม่มีนโยบาย และตนในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเรื่องนี้ก็ไม่มีนโยบายเช่นกันแต่ก็พร้อมรับข้อมูลไปตรวจสอบ” นายภูมิธรรมกล่าว
นอกจากนี้ นายภูมิธรรม ยังกล่าวอีกว่าเวลาของรัฐบาลหมดแล้วแต่ฝ่ายค้านก็ยังตั้งคำถาม แม้จะเป็นดุลยพินิจของประธานสภาฯหากอนุญาตให้ตอบได้แต่ในความรู้สึกเราผิดธรรมเนียมที่เคยทำมาจึงไม่อยากจะทำผิด ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ระมัดระวังอยู่แล้วอะไรที่ผิดเราก็ไม่อยากทำ เพราะพรรคเราก็เผชิญอะไรมาเยอะแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกว่าไม่ค่อยแฟร์ในการที่หยิบประเด็นมา ขึงขังตีความตั้งแต่แรกว่าเป็นดีลแลกประเทศ แต่สุดท้ายก็ยังไม่เห็นว่าอะไรเป็นดีลแลกประเทศ ส่วนเรื่อง io จากที่ตนรับฟังก็โดนกันทุกคนรวมถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนรับ จะไปดูแลอยู่แล้วแต่ต้องมีวุฒิภาวะมากกว่านี้
เมื่อถามย้ำว่า คิดว่ารัฐบาลตอบฝ่ายค้านครบทุกประเด็นแล้วใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนคิดว่านายกรัฐมนตรีก็ตอบคำถามที่ถามถึงตัวเอง และอยู่ในข้อเท็จจริง แต่ในเรื่องที่นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ตนรู้สึกว่าหลายเรื่องไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตนจึงมองว่าการอภิปรายครั้งนี้ มีทั้งการร้อยเรียงเรื่องแล้วใช้กิริยาท่าทางที่เข้มแข็งขึงขังเหมือนกำลังจะออกรบ เอาข้อเท็จจริงและที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงบ้างมาพูดขึงขัง ในแง่ของพวกเราอะไรที่ไม่มั่นใจเราก็พร้อมรับฟังว่าจริงหรือไม่จริง แต่อะไรที่ไม่จริงก็ตอบไปตามนั้น
นายภูมิธรรม กล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้หากไปถามประชาชน ก็คิดว่าประชาชนคงบอกว่ายังขาดอะไรใหม่ๆ หากมีเรื่องของคอรัปชั่นมีตัวเลขและหลักฐานชัดเจนรัฐบาลตายอยู่แล้ว ตนไม่อยากเห็นการฟังเสียงนู้นเสียงนี้แล้วมาคาดการณ์ เพราะเมื่อฟังฝ่ายค้านแล้วเราก็ต้องมาค้นหาว่าที่พูดมามีข้อเท็จจริงหรือไม่ ฝ่ายค้านฟังอะไรมาและก็เหมาเอามาพูด จึงมองว่าฝ่ายค้านต้องปรับวุฒิภาวะมากกว่านี้และอภิปรายในสภาก็ไม่ควรทำขึงขังเหมือนจะฆ่ากันตาย แต่ควรทำให้ประชาชนรู้ว่าไปทำหน้าที่มาแล้วพบหลักฐานก็เท่านั้นเอง หากรัฐบาลไม่จัดการในสายตาประชาชนก็อยู่ไม่ได้จึงอยากให้เปลี่ยนจากวาทกรรมและท่าทีที่ขึงขังเหมือนการแสดงละครเอาข้อเท็จจริงและคำแนะนำมาพูดคุยกันดีกว่า