
ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ลงมติเห็นชอบ 304 เสียง ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจและหน้าที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ-ตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ต้องทำประชามติ 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 17มีนาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาระเบียบวาระ เรื่องด่วน ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) จำนวน 2 ญัตติ ที่เสนอโดย นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ กับ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ กรณีการทำประชามติก่อนลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญแห่งรัฐอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ของนายพริษฐ์ วัชรสินธ์ สส.พรรคประชาชนหรือไม่
อ่านประกอบ :
- อนุทิน พรรคภูมิใจไทย เห็นด้วย ถามศาลรธน. ปม ประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
- องค์ประชุมแก้รัฐธรรมนูญล่ม - สว.วอล์กเอาท์ - ภูมิใจไทย ไม่แสดงตน
- สภาล่มวันที่ 2 แสดงตัว 176 คน ไม่ครบองค์ประชุมปมแก้รัฐธรรมนูญ
รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังสมาชิกรัฐสภา ทั้ง สส.และสว. อภิปรายกันอย่างกว้างขวางกว่า 5 ชั่วโมง เสร็จสิ้นแล้ว นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ถามที่ประชุมร่วมรัฐสภาว่า จะเห็นด้วยกับการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) หรือไม่
โดยที่ประชุมลงมติเห็นชอบควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีควา่ม จำนวน 304 เสียง ไม่เห็นด้วย จำนวน 151 เสียง งดออกเสียง จำนวน 120 เสีย ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง จำนวนผู้ลงมติ 572 คน
@ ยืนยัน ประชามติ 2 ครั้ง ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะมีมติเห็นชอบให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นด้วยกับการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) หรือไม่
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า จุดยืนของตนต่อญัตตินี้มีความเรียบง่าย ตนเห็นว่าการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็น และ ไม่เพียงพอ ต่อการทำให้รัฐบาลประสบความสำเร็จในการรักษาคำพูดตนเองว่าจะผลักดันให้ประเทศเรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป
“เหตุผลที่ไม่เห็นถึงความจำเป็นในการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการที่รัฐสภาจะเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยการทำประชามติรวมกัน 2 ครั้ง ไม่มีอะไรที่ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สาระสำคัญของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 อยู่ในย่อหน้าสุดท้าย สรุปสั้นๆ คือรัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องทำประชามติ 1 ครั้งก่อนและ 1 ครั้งหลัง”นายพริษฐ์กล่าว
นายพริษฐ์อภิปรายยืนยันว่าการที่รัฐสภาเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ตามที่พวกตนเสนอ สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลฯ เพราะหากรัฐสภาเดินหน้าพิจารณาและให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมี สสร. ขึ้นมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาทันที แต่ร่างดังกล่าวระบุชัดว่าหากรัฐสภาเห็นชอบในวาระที่ 3 ให้มี สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เราจะต้องจัดทำประชามติ 1 ครั้งก่อนตามบทบัญญัติมาตรา 256(8) ว่าประชาชนจะเห็นชอบกับการมี สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามที่รัฐสภาเห็นชอบหรือไม่ และหากเห็นชอบ เราถึงจะมีการเลือกตั้ง สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเมื่อ สสร. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องจัดทำประชามติอีก 1 ครั้งตามบทบัญญัติในร่างมาตรา 256/21 ว่าประชาชนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ สสร. จัดทำหรือไม่
นายพริษฐกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจว่าบางคนอาจมีความเห็นแตกต่างออกไปและมองว่าเราต้องทำประชามติเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ครั้ง รวมเป็น 3 ครั้ง เพราะไปตีความว่าการทำประชามติ 1 ครั้งก่อนที่อยู่ในคำวินิจฉัยศาลฯ นั้น ไม่ได้หมายถึงก่อนจะมีการจัดทำฉบับใหม่ แต่หมายถึงก่อนจะมีการเสนอญัตติหรือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. เข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภา ความจริงคนกลุ่มหนึ่งที่เคยคิดแบบนี้ก็คือประธานรัฐสภาและคณะกรรมการประธานรัฐสภา แต่หลังจากที่ตนได้รวบรวมหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ทางคณะกรรมการฯ และประธานรัฐสภาก็เปลี่ยนใจ หันมาเห็นตรงกับตนว่าประชามติ 2 ครั้งเพียงพอและรัฐสภาเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ได้
@ เสียเวลาแก้รัฐธรรมนูญ 4 เดือน
ขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้เป็นผู้อภิปรายสรุปในส่วนของพรรคประชาชน ว่าวันนี้ตนต้องถามสมาชิกถึงเหตุและผลที่ต้องมาเถียงกันในวันนี้ ถามจริงว่าที่เราเห็นต่างในวันนี้เป็นเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลทางข้อกฎหมายกันแน่ เพราะถ้าเป็นเหตุทางการเมือง แต่ใช้ข้ออ้างทางข้อกฎหมายมาบังหน้า อย่างไรเราก็จะไม่ได้คำตอบ วันนี้สมาชิกฝ่ายรัฐบาลจะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมาได้หรือไม่ ว่าที่ยังเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไม่ได้เพราะเพื่อนสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย แต่เป็นปัญหาเรื่องการเมืองที่สมาชิกบางส่วนไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองให้แก้ แก้แล้วจะเสียอำนาจลงไปหรือไม่ นี่ต่างหากที่เป็นเหตุขัดข้องให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไม่ได้
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ถ้าวันนี้รัฐสภามุ่งมั่นตั้งใจในการแก้ไขรัฐธรมนูญให้ประชาชน ลงมติไม่ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ เดินหน้ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ในวันนี้ให้ทันก่อนปิดสมัยประชุม ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญทันที ต่อให้ในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยออกมาว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง ก็แค่รีเซ็ตกระบวนการทำประชามติใหม่ ไม่มีอะไรช้าไปกว่าเดิม ไม่มีอะไรเสีย เว้นแต่ต้นทุนที่ท่านจะยอมแลกไม่ใช่ต้นทุนของประเทศ แต่เป็นต้นทุนของตัวเอง สมาชิกหลายส่วนกลัวว่าถ้ากระบวนการล้มไปจะมีใครไปฟ้องร้องว่าสมาชิกรัฐสภาใช้อำนาจโดยมิชอบ นี่คือการตัดสินใจที่ไม่ได้เอาต้นทุนของประเทศเป็นตัวตั้ง แต่เอาต้นทุนของตัวเองเป็นตัวตั้ง
“วันนี้เป็นสัปดาห์ท้ายของสมัยประชุมนี้ ที่ผ่านมาเมื่อปี 2567 ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาราว 1 เดือนก่อนที่จะวินิจฉัยว่าไม่รับพิจารณา กรณีที่ดีที่สุดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเร็วหรือไม่รับวินิจฉัย ก็ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งไม่ทันปิดสมัยประชุมนี้แน่นอน การพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 อย่างน้อยต้องรออีก 4 เดือน เท่ากับเป็นการปิดโอกาสในการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับให้ทันต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า นี่คือต้นทุนของประเทศที่จะเสียไป”นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐพงษ์กล่าวว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับหลายเรื่อง ทั้งที่มาของ สส. สว. องค์กรอิสระ การจัดวางตำแหน่งแห่งที่ให้มีความสมดุล ขจัดปัญหากระบวนการนิติสงคราม การรับรองสิทธิต่างๆ ให้ประชาชน รวมถึงการยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ มรดก คสช. ที่แช่แข็งประเทศไทยอยู่ทุกวันนี้
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ตั้งแต่ความขัดแย้งในการรัฐประหาร 2549 เกือบ 20 ปีที่ประเทศไทยอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง สูญเสียความภาคภูมิใจในชาติไปทีละเล็กทีละน้อย สมัยหนึ่งเราเคยรู้สึกว่าประเทศนี้มีเศรษฐกิจดี เป็นผู้นำในเวทีระหว่างประเทศของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ดูดีในสายตาชาวโลกและนักลงทุน แต่ทุกวันนี้เรายังหลงเหลือความภาคภูมิใจในชาติเช่นนั้นอยู่หรือไม่ ที่ผ่านมาเราค่อยๆ ถูกความขัดแย้งทางการเมืองจากรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยกัดกร่อนความภาคภูมิใจไปทีละเล็กละน้อย สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน แล้ววันนี้เราจะยอมสูญเสียต้นทุนต่างๆ เหล่านี้ต่อไปอีกหรือ
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ประเทศไทยที่จะมีความภาคภูมิใจในชาติต้องคือประเทศที่มีการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ คุ้มครองแรงงาน มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีอากาศที่สะอาด มีต้นทุนมนุษย์สูง มีการกระจายอำนาจ มีการพัฒนาเมือง นี่คือความภาคภูมิใจในชาติใหม่ของตนในยุคเปลี่ยนผ่านประเทศนี้ แต่นี่คือต้นทุนที่เราต้องเสียไปจากการหยุดเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญให้กับประเทศ ที่คอยรับประกันสิทธิหลายอย่าง สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับประเทศ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องประกอบ :
- พรรคภูมิใจไทย มีมติไม่ร่วมพิจารณาวาระแก้รัฐธรรมนูญ ชี้ศาลรธน.บอกต้องทำประชามติก่อน
- เปิดร่างรัฐธรรมนูญ ‘ฉบับเพื่อไทย’ สสร.สังกัดการเมือง-ออกกติกาเอื้อ ‘พรรคใหญ่’
- เปิดร่างแก้ไข รธน. ‘พรรคประชาชน’ เลือกตั้ง สสร. 200 คน จัดทำ ‘รัฐธรรมนูญฉบับใหม่’
- ‘ปชน.’ ล็อก สสร. 200 คน ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง-ศาล-อัยการ-องค์กรอิสระ 5 ปี

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา