
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แถลงท่าที กรณี อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัย เหยียดเชื้อชาติคนแอฟริกัน ขัดต่อหลักการสำคัญของอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับ ชี้ เป็นบุคคลสำคัญทางการเมือง-มีอิทธิพลต่อสังคม การเหยียดและด้อยค่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นจึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรยิ่ง ยกบทเรียนในอดีตการเลือกปฏิบัติก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง นำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 10 มกราคม 2568 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงข่าวว่า ตามที่ปรากฏข่าวและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปราศรัยของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งในลักษณะเหยียดเชื้อชาติและสีผิวของคนแอฟริกัน คณะกรรมการ กสม. ในฐานะสถาบันสิทธิมนุษยชนระดับชาติ มีความห่วงกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อการกระทำดังกล่าวอันเป็นการลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชนอื่น ซึ่งขัดต่อหลักการสำคัญของอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับ โดยเฉพาะอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (CERD) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐบาลมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ในนามพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 โดยได้ขึ้นกล่าวปราศรัยถึงลักษณะหน้าตาของผู้หญิงชาวแอฟริกัน จนเกิดเสียงวิพากษ์พิจารณ์ว่าเป็นการเหยียดเชืัอชาติ
นายวสันต์กล่าวว่า การปราศรัยดังกล่าว แม้จะเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่เมื่อคำนึงถึงสถานะทางสังคมของผู้พูดซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองและมีอิทธิพลต่อสังคม การสื่อสารอันเป็นการเหยียดและด้อยค่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นจึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรยิ่ง เพราะพื้นฐานความคิดที่ว่าคนเชื้อชาติหนึ่งเชื้อชาติใดเหนือกว่าชนเชื้อชาติอื่น อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติระหว่างมนุษย์และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสัมพันธ์และสันติภาพระหว่างชาติ ดังจะเห็นได้จากบทเรียนในอดีตของมนุษยชาติซึ่งการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว และเผ่าพันธุ์ ได้ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง อันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้

นายวสันต์กล่าวว่า กสม. เห็นว่าในขณะที่รัฐบาลไทยในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญา CERD มีหน้าที่ต้องจัดให้มีนโยบายและการปฏิบัติที่นำไปสู่การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติทุกรูปแบบ รวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจระหว่างคนทุกชนชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไทยเพิ่งได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญ คือ การเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council –HRC) วาระปี 2568 - 2570 นี้ บุคคลสาธารณะและผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของไทยจึงต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและร่วมส่งเสริมให้สังคมตระหนักและเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่นโดยไม่แบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อกันด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ สีผิว หรือสถานะทางสังคมอื่นใด
“รวมทั้งไม่สื่อสารในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกลุ่มคนอื่น ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและสร้างสรรค์บนพื้นฐานของการเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนทุกคน”นายวสันต์กล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา