ป.ป.ช.ภาค 9 แถลงผลงานคกก.ชุดใหญ่มติเอกฉันท์ชี้มูล พ.ต.อ.ปุริมพรรษ์ สอนสังข์ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรป่าพะยอม พัทลุง ทุจริตเงินค่าเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติงานสถานการณ์โควิด - 19 ประจำปี 63 ส่งสำนวนอสส.ฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนกม.แล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2567 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค 9 และสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 9 แถลงข่าวผลการดำเนินงานที่สำคัญ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีมติชี้มูลความผิด พ.ต.อ.ปุริมพรรษ์ สอนสังข์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง ทุจริตเงินค่าเบี้ยเลี้ยงของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด - 19 (ค่าเบี้ยเลี้ยงโควิด - 19 ) ประจำปี 2563
ระบุพฤติการณ์ในการกระทำความผิด ว่า เมื่อปีงบประมาณ 2563 กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุงได้รับจัดสรรงบประมาณสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 จากนั้นได้จัดสรรงบประมาณนั้นให้แก่สถานีตำรวจภูธรป่าพะยอม ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้มีการสั่งการให้นำเงินเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวมาบริหารจัดการใหม่ ทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจของสถานีตำรวจป่าพะยอมบางส่วนไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงในการปฏิบัติงานเต็มจำนวน
โดยผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่า เงินส่วนต่างนั้นจะนำไปสร้างศาลานุสรณ์ที่สถานีตำรวจภูธรป่าพะยอม และนำเงินที่เหลือ (เงินทอน) ส่งให้แก่ “นาย” จำนวน 200,000 บาท โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ยินยอมทั้งหมด ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งไม่พอใจ เนื่องจากได้รับเงินน้อยกว่าสิทธิที่ตนเองจะได้รับ จนเป็นเหตุให้มีการร้องเรียน
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาในการประชุม ครั้งที่ 59/2567 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 6 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของ คณะผู้ไต่สวนเบื้องต้นว่า การกระทำของ พ.ต.อ.ปุริมพรรษ์ สอนสังข์ ผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ฐานเป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 มาตรา 149 มาตรา 151 และมาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานกระทำหรือละเว้นการกระทำใด ๆ รวมทั้งการกระทำผิดตามมาตรา 78 อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6)
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นชอบให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับพ.ต.อ.ปุริมพรรษ์ สอนสังข์ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุดผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด