‘ชัชชาติ’ เผยลงนามประกาศจัดระเบียบหาบเร่-แผงลอย หวังอนาคตดันให้คนค้าขายเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่จัดไว้ เหมือนสิงคโปร์ สแกนประกาศมอบอำนาจสำนักงานเขตเป็นผู้พิจารณา โดยให้ทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของการเป็นพื้นที่ทำการค้าทุกๆ 1-2 ปี แล้วแต่ความกว้างถนน พร้อมระบุชัดผู้ทำการค้าต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 5 ตุลาคม 2567 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ประกาศหลักเกณฑ์พื้นที่ทำการค้าฉบับใหม่ ภายหลังการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 10/2567 โดยเรื่องการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย ซึ่งได้มีการออกประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขาย หรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะ ซึ่งมีคณะกรรมการและผู้ชำนาญการจากหลายภาคส่วนมาช่วยกัน เพื่อให้การจัดระเบียบหาบเร่-แผงลอยเกิดความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
@หวังแผงลอย กทม. ปรับตัวไปเป็นแบบ ‘สิงคโปร์’
นายชัชชาติ กล่าวต่อไปว่า หาบเร่-แผงลอย หัวใจคือการเอาพื้นที่สาธารณะมาทำมาหากิน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่มีมานานกลายเป็นวิถีชีวิตของคนส่วนหนึ่ง ภาพหลักของเราคือเชื่อว่าในอนาคตหาบเร่-แผงลอยต้องน้อยลง และควรจะเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ใช่ที่สาธารณะ อยู่ในที่จัดเตรียมไว้ให้ เพื่อให้ผู้ค้าอยู่อย่างมั่นคง คุณภาพชีวิตดีขึ้น ไม่กีดขวางทางเดินเท้า เหมือนสิงคโปร์ที่มี Hawker Center กระจายอยู่ทั่วเมือง ดังนั้นจึงมีการออกระเบียบหาบเร่-แผงลอยออกมา หลักการคือเราไม่มีนโยบายจะเพิ่มพื้นที่ค้า แต่จะทบทวนจุดผ่อนผันที่เคยมีอยู่เดิมว่าตรงตามระเบียบใหม่และเหมาะสมหรือไม่ หากไม่เหมาะสมจะยกเลิก หากเหมาะสมจะเข้ากรรมการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และจะมีการคัดเลือกผู้ทำการค้าโดยการลงทะเบียน 15 วัน ตามหลักเราไม่อยากมีผู้ค้าใหม่เข้ามาเพิ่มจึงให้สิทธิผู้ค้าเดิมก่อน ทั้งนี้ผู้ค้าต้องควบคุมกันเองด้วย หากอนุญาตให้ขายแล้ว ไม่ดูแลให้พื้นที่สะอาด ก็จะยกเลิกทั้งหมด
สำหรับการพิจารณาอนุญาตให้ทำการค้าขาย บริเวณที่มีถนน 3 เลนขึ้นไป จะทบทวนทุก 2 ปี ถนน 1 – 2 เลน ทบทวนทุก 1 ปี ไม่ได้ให้ตลอดชีวิต เพราะหวังว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งหาบเร่-แผงลอยจะออกจากทางเท้าไปสู่พื้นที่ที่เราจัดไว้ให้หรือพื้นที่เอกชน อีกทั้งการให้สิทธิเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่สามารถเอาไปเซ้งต่อหรือเอาไปเช่าช่วงได้ ผู้ประกอบการต้องมีการยืนยันตัวตน
“ในภาพรวมเชื่อว่าน่าจะเป็นมาตรการที่ทำให้คุณภาพร้านค้าดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น อนาคตบ้านเมืองจะเป็นระเบียบมากขึ้น 2 ปีที่ผ่านมาลดจำนวนหาบเร่-แผงลอยไปประมาณ 10,000 กว่าราย และพยายามทำ Hawker Center เพิ่มขึ้น เพื่อให้คนเข้าไปขายและไม่กีดขวางทางเดิน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าว
ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวในช่วงท้ายว่า จากนี้ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 67 จะทำการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจ และพิจารณาจุดผ่อนผันเดิม วันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 68 คณะกรรมการพิจารณาคัดกรองจุดผ่อนผันและผู้ค้า 3 ระดับ คือ ระดับเขต ระดับสำนัก และระดับผู้ตรวจ และ มิ.ย. 68 เป็นต้นไป จะประกาศผลการพิจารณารายจุด ยกเลิกจุดผ่อนผัน หรือประกาศจุดผ่อนผันต่อไป ทั้งนี้จะเห็นว่ายังมีอีกหลายขั้นตอนแต่ปัจจุบันยังคงต้องจัดระเบียบหาบเร่-แผงลอยอย่างต่อเนื่อง
@ผ่าประกาศจัดระเบียบแผงลอย กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2567 นายชัชชาติลงนามในประกาศ กทม.เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขาย หรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะ เพื่อกำหนดให้ต้องมีทางเดินที่สะดวกและปลอดภัยสำหรับประชาชนด้วย
โดยกำหนดให้ถนนที่มีช่องทางจราจรตั้งแต่ 3 ช่องทางจราจรขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการเดินรถทางเดียวหรือสวนทาง เมื่อจัดวางแผงค้าแล้วต้องมีที่ว่างให้ประชาชนสัญจรได้ไม่น้อยกว่า 2 เมตร โดยให้สำนักงานเขตทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของการเป็นพื้นที่ทำการค้าทุก 2 ปี
ส่วนถนนที่มีช่องทางจราจรน้อยกว่า 3 ช่องทางจราจร ไม่ว่าจะเป็นการเดินรถทางเดียวหรือสวนทาง เมื่อจัดวางแผงค้าแล้วต้องมีที่ว่างให้ประชาชนสัญจรได้ไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร โดยให้สำนักงานเขตทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของการเป็นพื้นที่ทำการค้าทุก 1 ปี โดยแผงค้าต้องมีขนาดไม่เกิน 3 ตารางเมตร และมีความลึกของแผงค้าต้องไม่เกิน 1.5 เมตร ให้จัดวางแผงค้าได้เพียงฝั่งเดียว โดยให้ชิดกับด้านถนนและต้องห่างจากผิวจราจรอย่างน้อย 50 เซนติเมตร เพื่อให้มีระยะปลอดภัยด้านการจราจร และให้เว้นระยะห่าง 3 เมตร ทุกระยะ 10 แผงค้า เพื่อเป็นทางเข้าออกและทางฉุกเฉิน รูปแบบ ลักษณะแผงค้าและสิ่งประกอบแผงค้า เช่น ร่ม หลังคาแผงค้า ต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมาะสมกับลักษณะพื้นที่นั้น ๆ
@ผู้ค้าต้องมีสัญชาติไทย
สำหรับคุณสมบัติของผู้ทำการค้าและผู้ช่วยจำหน่ายสินค้าต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นคู่สัญญาในการซื้อบ้านที่อยู่อาศัยกับการเคหะแห่งชาติในโครงการบ้านมั่นคงของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนและยังมีภาระผูกพันในการชำระหนี้ เป็นบุคคลที่ได้รับเงินสวัสดิการจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี โดยอ้างอิงจากเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายประกอบธุรกิจตามหลักฐานการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนี้ผู้ทำการค้าต้องลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ต่อสำนักงานเขตที่กำหนดให้มีพื้นที่ทำการค้า ไม่มีแผงค้าอื่นหรือผู้ช่วยจำหน่ายสินค้าในแผงค้าอื่นในพื้นที่ที่ กทม.กำหนดให้เป็นพื้นที่ทำการค้า