สภาผู้บริโภคจี้นายกฯแก้ปัญหาคลินิกไม่ออกใบส่งตัว ส่งผลผู้ป่วยไม่ได้รักษาต่อเนื่อง ย้ำให้สื่อสารนโยบาย '30 บาทรักษาทุกที่' ให้ชัดเจน พร้อมเสนอมาตรการเร่งด่วน-ระยะยาว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า จากกรณีการเบิกจ่ายระหว่างคลินิกชุมชนอบอุ่นและ สปสช. ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จนทำให้ผู้บริโภคหลายรายถูกปฏิเสธการออกใบส่งตัวผู้ป่วย การเรียกเก็บค่าออกใบส่งตัว การจำกัดโควตาการออกใบส่งตัว หรือการส่งตัวที่ล่าช้านั้น
เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2567 น.ส.มลฤดี โพธิ์อินทร์ รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค กล่าวว่า การเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่รัฐบาลต้องจัดสรรให้ ซึ่งปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยยังเป็นปัญหาสำคัญที่ผู้บริโภคยังพบเจอโดยตลอด สภาผู้บริโภคเห็นว่าทุกภาคส่วนต้องเร่งหาทางออกโดยเร็วเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการรักษาที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน
น.ส.มลฤดี กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาผู้บริโภค ได้รวบรวมข้อคิดเห็นทั้งหมดจากเวทีหาแนวทางแก้ไขปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยบัตรทองในกรุงเทพฯ ที่จัดขึ้นเมื่อ 29 มิถุนายน 2567 จัดทำเป็นข้อเสนอนโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคต่อนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การเสนอมาตรการแก้ปัญหาเร่งด่วน โดย
-
ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับหน่วยบริการปฐมภูมิและคลินิกชุมชนอบอุ่นแก้ไขปัญหาระบบการส่งต่อผู้ป่วย จัดให้มีกติกาในการส่งต่อผู้ป่วยและออกแบบระบบการจ่ายเงินที่เหมาะสม
-
นำเสนอและสื่อสารนโยบาย '30 บาทรักษาทุกที่' อย่างชัดเจน รวมถึงการแจ้งสถานที่ที่ประชาชนสามารถรับบริการได้ เช่น ร้านขายยา คลินิกทันตกรรม คลินิกกายภาพบำบัด เป็นต้น เพื่อลดความสับสนและลดความแออัดในโรงพยาบาล
ส่วนข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพในระยะยาวนั้น รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายฯ สภาผู้บริโภค ระบุว่า
-
หน่วยงานกำกับดูแลต้องพัฒนาและยกระดับศักยภาพการให้บริการของศูนย์บริการสาธารณสุขต่าง ๆ เพื่อให้สามารถให้บริการได้อย่างเทียบเท่ากับโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) รับขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรทองได้อย่างน้อย 50,000 คน และคลินิกชุมชนอบอุ่นควรทำหน้าที่เป็นเครือข่ายบริการปฐมภูมิเพื่อสนับสนุนการให้บริการที่ครอบคลุม
-
ควรทำความร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรับส่งต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเฉพาะทาง มีช่องทางในการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วย ลดระยะเวลารอคอยและลดความแออัดในหน่วยบริการสาธารณสุข อีกทั้งควรสร้างความร่วมมือ โดยการขยายขอบเขตการรับส่งต่อผู้ป่วยในกรณีอื่น ๆ ของโรงพยาบาลเอกชนด้วย นอกเหนือจากการให้บริการรักษาในกรณีฉุกเฉินวิกฤตเท่านั้น
“การเสนอนโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคต่อนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ สภาผู้บริโภคคาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับและเร่งหาทางออกให้กับประชาชนโดยเร็ว กรณีปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยที่ประชาชนพบเจอมาโดยตลอด และหากผู้บริโภครายใดที่ได้รับความไม่สะดวกในการใช้บริการสุขภาพ สามารถร้องเรียนกับ สปสช. ที่เบอร์สายด่วน 1330 หรือสภาผู้บริโภค ที่เบอร์ 1502” น.ส.มลฤดี ระบุ