s
Newsweek สื่อสหรัฐฯเผยชาวอเมริกันตกเป็นเหยื่อ-มีส่วนร่วมขบวนการฉ้อโกงมากขึ้นเรื่อยๆ เผยปี 66 ที่ผ่านมามียอดฟ้องร้องบุคคลในสหรัฐฯมูลค่ารวม 2.7 พันล้าน ฐานเอี่ยวขบวนการฉ้อโกงในอาเซียน ขณะตำรวจไทยยอมรับแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวเกี่ยวกับขบวนการฉ้อโกงจากประเทศไทยอ้างอิงจากสำนักข่าว Newsweek ของสหรัฐอเมริกาว่าปัจจุบันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศลำดับต้นๆในเอเชียในแง่ของจํานวนการหลอกลวงทางโทรศัพท์และข้อความฟิชชิ่ง อ้างอิงข้อมูลจากสํานักงานแห่งชาติสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยระบุว่ามีรายงานการหลอกลวงทางโทรศัพท์และข้อความหลอกลวง 78.8 ล้านกรณีตั้งแต่ปี 2566 การดําเนินการฉ้อโกงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคอลเซ็นเตอร์ที่ดําเนินการโดยอาชญากรระหว่างประเทศ ซึ่งส่วนมากมีผู้บงการคืออาชญากรจีน
ข้อมูลจากทางการระบุว่าองค์กรอาชญากรรมที่ดําเนินงานในประเทศไทยกําลังขยายกิจกรรมการฉ้อโกงไปยังสหรัฐอเมริกา ในปี 2566 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ฟ้องร้อง 4 บุคคลในสหรัฐฯ ในข้อหาฟอกเงินมากกว่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2,707,439,808 บาท) จากปฏิบัติการหลอกลวงที่ดําเนินการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรายงานว่าชาวอเมริกันจํานวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มีส่วนร่วมในขบวนการนี้ซึ่งนําไปสู่การร้องเรียนที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา
นรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) อดีตสแกมเมอร์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Newsweek ว่ากิจการการหลอกลวงที่มักจะมีการดำเนินการบ่ายที่สุดคือการทำโรแมนซ์สแกมโดยโน้มน้าวให้เหยื่อโอนเงินหรือลงทุนในแผนการฉ้อโกง โดยเป้าหมายของกลุ่มฉ้อโกงได้แก่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปี คนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 20 ถึง 25 ปี และผู้หญิงที่ซื้อของออนไลน์ อาทิจากเว็บ Shopee และ Lazada
ในช่วงปี 2566 สํานักงานตํารวจแห่งชาติของไทยได้ร่วมมือกับทางการกัมพูชาในการดำเนินปฏิบัติการหลายครั้งเพื่อรื้อถอนเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ที่ดําเนินการโดยขบวนการชาวจีน โดยพล.ต.ต. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจตำรวจไซเบอร์ และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ให้สัมภาษณ์ว่าปฏิบัติการฉ้อโกงได้ย้ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เพื่อหลบหนีเขตอํานาจศาลของไทย ปัจจุบันมีการออกหมายจับ 165 หมายสําหรับสมาชิกกลุ่มอาชญากรที่เคลื่อนไหวในกัมพูชา และรอความคืบหน้าเพิ่มเติมจากหน่วยงานท้องถิ่น ทางการไทยประเมินว่ากลุ่มอาชญากรที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงทางโทรศัพท์และข้อความหลอกลวงนั้นสามารถสร้างรายได้ที่สูงกว่าการค้ายาเสพติด
มีรายงานว่าทางการไทยกําลังดําเนินการเพื่อให้แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก,กูเกิล และ Line มีส่วนร่วมในการสืบสวนการหลอกลวงทางออนไลน์ เพราะมักมีการสร้างข้อมูลปลอมบนแพลตฟอร์มโซเชียลเพื่อแอบอ้างเป็นบุคคลอื่น ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสําคัญในการหลอกลวงเหยื่อ จากข้อมูลของพล.ต.ต. ธัชชัย พบว่าการตอบสนองของแพลตฟอร์มต่อการแจ้งเตือนที่ส่งโดยเจ้าหน้าที่นั้นไม่เพียงพอ ขณะที่บริษัท Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กกล่าวว่ากําลังให้ความร่วมมือกับตํารวจไทยอย่างแข็งขัน และได้ลบบัญชีปลอมกว่า 1.2 พันล้านบัญชีระหว่างเดือน เม.ย.-ก.ค. 2567 รวมถึงเนื้อหาสแปม 322 ล้านรายการ อย่างไรก็ตาม การหลอกลวงที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่าอาชญากรยังคงใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนในระบบรักษาความปลอดภัยอยู่ดี
ทางตำรวจไทยยังได้เน้นย้ำถึงความสําคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน เพื่อป้องกันกิจกรรมการฉ้อโกงเหล่านี้ โดยเจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการ กลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวว่าการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวและสิทธิมนุษยชน ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีต่างๆ เช่น คลาวด์แฟลร์ ได้ทำให้ปฏิบัติการทางอาชญากรรมเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้การดำเนินงานของตำรวจจะประสบความสําเร็จบ้าง เช่น การจับกุมหัวหน้าขบวนการชาวจีนด้วยการกู้คืนทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท แต่ปัญหายังคงมีอยู่ เครือข่ายอาชญากรมีความซับซ้อน โดยมีการจัดการหลายชั้นและยากต่อการรื้อถอน ทางการไทยเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของความร่วมมือระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเพื่อระบุและรื้อถอนเครือข่ายเหล่านี้
เรียบเรียงจาก:https://www.newsweek.com/inside-thailand-2-billion-china-scam-industry-now-targeting-americans-1947561