ก.ต.สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ 2 ผู้พิพากษา รายแรก บอกให้โจทก์ ‘ถอนฟ้อง’ ส่วนอีกราย ดูหมิ่นข่มขู่ผู้บังคับบัญชา ขณะถูกเตือนเหตุถูกตรวจร่างคำพิพากษา
..........................................
เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2567 ที่ศาลฎีกา สนามหลวง นางอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ครั้งที่ 21/2567 มีวาระการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายผู้พิพากษาตามบัญชีรายชื่อของสำนักงานศาลยุติธรรม
โดย ก.ต.เห็นชอบแต่งตั้งโยกย้าย ระดับชั้น 4 สับเปลี่ยนตำแหน่งบัญชี 3 (ผู้พิพากษาศาลฎีกา-อธิบดีผู้พิพากษา-ประธานเเผนกในศาลอุทธรณ์-ประธานศาลอุทธรณ์ภาค-หัวหน้าอุทธรณ์-ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์) เพิ่มเติมอีก 8 ตำแหน่งและบัญชีสับเปลี่ยนและแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสเพิ่มเติมรวมกัน 3 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ ก.ต.ยังพิจารณารายงานผลการสอบสวนข้อเท็จริงข้าราชการตุลาการ กรณีมีพฤติกรรมพูดกับคู่ความฝ่ายโจทก์ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ว่า จะยกฟ้อง ให้คู่ความไปเจรจาตกลงกันก่อน และระหว่างสืบพยานโจทก์ ได้พูดให้โจทก์ถอนฟ้องและขอค่าขึ้นศาลคืนจะดีกว่า ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและประเพณีปฏิบัติของทางราชการและจริยธรรมของข้าราชการตุลาการตามที่ ก.ต. กำหนดตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรรม พ.ศ.2543 มาตรา 55 และมาตรา 62 ประกอบประมวลจริยธรรมข้าราชการตลาการ ข้อ 3 เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง เห็นควรลงโทษภาคทัณฑ์ จำนวน 1 ราย
นอกจากนี้ ก.ต.ยังพิจารณารายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงข้าราชการตุลาการ กรณีประพฤติตนไม่สุภาพเรียบร้อยในหน้าที่ราชการ ไม่รับฟังคำตักเตือนให้แก้ไขข้อบกพร่องในการตรวจร่างคำพิพากษาดูหมิ่นเหยียดหยาม ข่มขู่ผู้บังคับบัญชา ทำให้เสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการ สร้างความแตกแยกสามัคคีในหมู่ข้าราชการ และเป็นการไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและประเพณีปฏิบัติของทางราชการและจริยธรรมของข้าราชการตุลาการตามที่ ก.ต. กำหนดตาม พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 61 และมาตรา 62 ประกอบประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ ข้อ 35 เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง เห็นสมควรลงโทษภาคทัณฑ์ จำนวน 1 ราย