เผยมติ ป.ป.ช. เสียงเอกฉันท์ตีตกคดี 'สุรจิต บัวทองศรี' อดีตส.อบจ.นครสวรรค์ ร่ำรวยผิดปกติ หลังไต่สวนพบ กู้ยืมเงินพี่สาวร่วมบิดามารดามาซื้อที่ดิน1 แปลง มูลค่า 1.2 ล้านจริง ครอบครัวทำขนมโมจิชื่อดัง มียอดขายผลกำไรจำนวนมาก เพียงพอหมุนเวียนในกิจการชำระหนี้ธนาคารได้ ข้อกล่าวหาไม่มีมูล -เคยโดนศาลฎีกาฯ จําคุก 1 เดือน ซุกทรัพย์สินรอลงโทษ 1 ปี ไปแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงเอกฉันท์ตีตกคดีกล่าวหา นายสุรจิต บัวทองศรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ร่ำรวยผิดปกติ หลังพ้นตำแหน่ง มีที่ดิน ส.ค.1 เพิ่มขึ้น 1 แปลง มูลค่า 1,200,000 บาท มีรายได้ไปชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้และสัญญาเช่าซื้อ
หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ข้อกล่าวหาไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหาตกไป เหตุไต่สวนพบกู้ยืมเงินพี่สาวร่วมบิดามารดามาซื้อที่ดินจริง ครอบครัวทำขนมโมจิชื่อดังในจังหวัดนครสวรรค์ มียอดขายและผลกำไรเป็นจำนวนมาก เพียงพอที่จะนำมาหมุนเวียนในกิจการและสำหรับการชำระหนี้ธนาคารได้
โดยสำนักงาน ป.ป.ช. ระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิดโดยสรุป ว่า จากการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ปรากฏว่า ในกรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ผู้ถูกกล่าวหามีทรัพย์สินลดลง เนื่องจากมีหนี้เงินกู้และหนี้เช่าซื้อเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณารายได้ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส เห็นว่ามีรายได้ไม่เพียงพอที่สามารถจะนำมาชำระหนี้ได้
โดยในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ผู้ถูกกล่าวหามีที่ดิน ส.ค.1 เพิ่มขึ้น 1 แปลง มูลค่า 1,200,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงว่าได้กู้ยืมเงินจากนางนงนุช แข็งธัญกิจ จำนวน 1,000,000 บาท โดยไม่มีหลักประกันเงินกู้ ทั้งที่จำนวนเงินในการกู้ยืมเงินมีมูลค่าสูง และไม่ปรากฏความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องกันระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ กรณีจึงมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า กรณีที่ดิน ส.ค.1 เพิ่มขึ้น 1 แปลง มูลค่า 1,200,000 บาท ทางไต่สวนได้ความว่า นางนงนุช แข็งธัญกิจ เป็นพี่สาวร่วมบิดามารดากับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท เอส.เค.โอ เอ เซ็นเตอร์ จำกัด มีรายได้เพียงพอที่สามารถให้กู้ยืมเงินได้ และเหตุที่มิได้ มีการเรียกหลักประกันในการกู้ยืม เนื่องจากเป็นพี่น้องกัน กรณีจึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กู้ยืมเงินจากนางนงนุชฯ แล้วนำไปซื้อที่ดินจริง การที่ผู้ถูกกล่าวหามีที่ดินเพิ่มขึ้น จึงไม่ถือว่าเป็นการมีทรัพย์สินมากผิดปกติแต่อย่างใด
กรณีการมีรายได้ไปชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้และสัญญาเช่าซื้อ นั้น ทางไต่สวนได้ความว่า ครอบครัวคู่สมรสของผู้ถูกกล่าวหา เดิมประกอบกิจการค้าขายขนมเบเกอรี่ ต่อมาประกอบกิจการค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค อีกทั้งยังมีกิจการของครอบครัวทำขนมโมจิชื่อดังในจังหวัดนครสวรรค์ โดยกิจการของคู่สมรสในช่วงเวลาที่กล่าวหานั้น จะมียอดขายและผลกำไรเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีเพียงพอที่จะนำมาหมุนเวียนในกิจการและสำหรับการชำระหนี้ธนาคารได้จริง จึงไม่ถือว่าเป็นการมีทรัพย์สินมากผิดปกติแต่อย่างใด
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 6 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้นว่า จากการไต่สวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า นายสุรจิต บัวทองศรี ร่ำรวยผิดปกติตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
@ เคยโดนศาลฎีกาฯ จําคุก 1 เดือน ซุกทรัพย์สิน ป.ป.ช. รอลงโทษ 1 ปี
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2563 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา คดีการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินราย นายสุรจิต บัวทองศรี สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรมมการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือ ปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่ง ทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น โดยไม่ แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ได้แก่ เงินฝากธนาคาร 1 รายการ รถยนต์ 2 คัน เงินกู้สถาบัน การเงิน 5 รายการ และสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ 2 รายการ ห้ามดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตําแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปี และให้พ้นจากตําแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ที่ดํารงอยู่ในปัจจุบันตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ จําคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจําคุก 1 เดือน และปรับ 4,000 บาท โทษจําคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด 1 ปี ไปแล้ว