เผยมติ ป.ป.ช.ตีตกคดี 'พิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์' ผอ.โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย หนองคาย- พวก จัดหาเครื่องแบบนักเรียน ปีงบประมาณ 2562 โดยมิชอบ ไม่เป็นไปตามแนวทางการดำเนินงานตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่สพฐ.กำหนด หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนเบื้องต้น เห็นว่าไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตีตกคดี นายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย และ พวก คือ นายณรงค์ชัย นำเจริญสมสกุล กรณีจัดหาเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย เมื่อปีงบประมาณ 2562 โดยมิชอบหรือโดยทุจริต โดยไม่เป็นไปตามแนวทางการดำเนินงานตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนเบื้องต้น เห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป
สำนักงาน ป.ป.ช.ระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิดโดยสรุป ว่า ในปีงบประมาณ 2562 สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานได้สนับสนุนเงินจัดซื้อเครื่องแบบชุดนักเรียนให้แก่นักเรียนโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ซึ่งตามแนวทางการดำเนินงานตามโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ฉบับลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย ต้องดำเนินการจ่ายเงินให้นักเรียน โดยลงลายมือชื่อรับเงิน กรณีนักเรียนไม่สามารถลงลายมือชื่อรับเงินได้ ให้ผู้ปกครองลงลายมือชื่อรับเงินแทนเพื่อไว้เป็นหลักฐานการจ่าย เพื่อให้นักเรียนผู้ปกครองไปเลือกซื้อเครื่องแบบนักเรียนได้ตามความต้องการได้
แต่กลับพบว่า นายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย ไม่ได้ดำเนินการจ่ายเงินให้นักเรียนตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้นักเรียนผู้ปกครองไปเลือกซื้อเครื่องแบบนักเรียนได้ตามความต้องการ แต่กลับมีนโยบายให้ดำเนินการจัดหาชุดเครื่องแบบนักเรียนและชุดกีฬาจากร้านค้าที่มีนายณรงค์ชัย นำเจริญสมสกุล เป็นเจ้าของมาให้นักเรียนเอง โดยให้นักเรียนมาลงชื่อรับชุดเครื่องแบบทั้งสองดังกล่าวจากที่ร้านค้าสวัสดิการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย เมื่อเบิกจ่ายชุดเครื่องแบบให้แก่นักเรียนแล้ว เจ้าหน้าที่การเงินจะขออนุมัติเบิกเงินค่าเครื่องแบบนักเรียนเนเงิน จำนวน 1,364,300 บาท โดยแบ่งเป็นเงินค่าชุดกีฬานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 จำนวน 500,000 บาท และค่าชุดเครื่องแบบนักเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ,3,5,6 เป็นเงินจำนวน 864,300 บาท และโรงเรียนชุมพลโพนพิสัยได้นำเงินทั้งหมดดังกล่าวไปชำระเงินให้กับนายณงค์ชัยฯ เจ้าของร้านน้องสปอร์ต
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ระบุว่า งบประมาณที่โรงเรียนชุมพลโพนพิสัยได้ทำการเบิกจ่ายค่าชุดเครื่องแบบนักเรียนและชุดกีฬาดังกล่าว สอดคล้องตรงกันกับหลักฐานการรับชุดนักเรียนและการจ่ายเงินให้กับนักเรียนโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย แม้นายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัยจะดำเนินการฝ่าฝืนแนวทางการดำเนินงานตามโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ฉบับลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562
แต่ก็เนื่องมาจากความเข้าใจผิดว่าตนเข้าข่ายเป็นโรงเรียนห่างไกล ประกอบกับเกิดจากการพยายามแก้ไขปัญหาในกรณีที่มีการจ่ายเงินสดให้กับนักเรียนและ/หรือผู้ปกครองไปจัดหาเครื่องแบบ แต่นักเรียน และผู้ปกครองหลายรายไม่ได้นําเงินไปจัดซื้อจริง แต่ได้ชื้อใบเสร็จ/บิลเงินสดจากร้านขายเสื้อผ้ามาล้างหนี้ จึงมีการขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการภาคี 4 ฝ่าย และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนชุมพลโพนพิสัยก่อนดำเนินการ ซึ่งราคาชุดนักเรียนที่จัดซื้อก็ได้มาตรฐาน และมิได้สูงกว่าราคาท้องตลาดแต่อย่างใด
อีกทั้ง การจัดหาชุดเครื่องแบบนักเรียนนอกจากจะอยู่ภายใต้งบประมาณที่รัฐจัดสรรแล้ว ยังพบว่าร้านจะต้องดำเนินการปักชื่อ-นามสกุลให้กับนักเรียน และเพิ่มถุงเท้าจำนวน 3 คู่/ชุดนักเรียน 1 ชุด อีกด้วย อันเป็นประโยชน์กับนักเรียนภายในโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย โดยเฉพาะในการจัดหาชุดกีฬานักเรียนซึ่งเป็นเครื่องแบบเฉพาะ ก็มีการแจ้งให้ผู้ปกครอง/นักเรียนในการประชุมรายงานตัวและประชุมผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2562 ทราบก่อนที่จะมีการเบิกจ่ายชุดกีฬาให้กับนักเรียน
การกระทำดังกล่าว น่าเชื่อได้ว่ากระทำไปด้วยความสุจริตใจเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาภายใต้อำนาจการบริหารของตนซึ่งการกระทำดังกล่าวเกดจากเจตนาดี และเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการแต่งกายภายในโรงเรียน ซึ่งอาจมีผลในด้านจิตใจและเป็นปัญหาทางจิตวิทยาซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนการอยู่ร่วมกันในสังคมของนักเรียนตามที่ได้มีการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยในปีดังกล่าวพบว่าโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย เป็น 1 ใน 2 โรงเรียน ที่ได้รับเลือกให้เข้ารับการประเมินจากสํานักงานรับรองมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน) (สมศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกเข้าประเมินคุณภาพภายนอกรอบ คู่กับโรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ปรากฏว่าในการประเมินคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งมีหัวข้อการประเมินผู้เรียนมีคุณลักษณะและค่านิยมที่ดีตามที่สถานศึกษากำหนด ซึ่งโรงเรียนชุมพลโพนพิสัยมีการกำหนดการแต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบของโรงเรียน และชุดนักเรียนจะต้องมีการปักชื่อ ปักสัญลักษณ์ ให้ถูกต้องอันเป็นคุณลักษณะที่ดีอย่างหนึ่งของนักเรียนโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย และมีการกำหนดค่านิยมว่า "ผมสั้น ยกมือไหว้ แต่งกายดี" ทำให้โรงเรียนชุมพลโพนพิสัยได้รับการประเมินคุณภาพของผู้เรียน อยู่ในระดับคุณภาพดีเยี่ยม
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าวของนายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย แม้จะเป็นการฝ่าฝืนแนวทางการดำเนินงานตามโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ฉบับลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 และอาจเกิดความบกพร่องในการบริหารจัดการในด้านเอกสารไปบ้าง แต่มิได้มีพฤติการณ์หรือมีเจตนาละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ปกครอง/นักเรียนแต่อย่างใด เมื่อปรากฏว่างบประมาณที่ได้รับจัดสรรก็ได้มีการใช้จ่ายตรงตามเอกสารใบเสร็จรับเงินที่ได้ออกให้แก่นักเรียนที่ได้รับชุดเครื่องแบบนักเรียนและชุดกีฬาตรงตามความเป็นจริง จึงไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ แต่อย่างใด
อีกทั้ง ในเรื่องนี้ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดหนองคาย ได้มีคำสั่งที่ 4/2562 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง กับนายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย และคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดหนองคาย ในการประชุมครั้งที่1/2564 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 มีมติว่า การไม่ปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินงานตามโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ฉบับลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 ไม่ได้ทำให้ราชการเสียหาย ไม่ได้ส่อไปในทางทุจริต เนื่องจากเอกสารบัญชีเบิกถอนในระบบบัญชีโรงเรียนสอดคล้องกับหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้แก่นักเรียน การกระทำของนายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จึงไม่เป็นความผิดวินัยตามมาตรา 85 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ที่กำหนดว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาลโดยถือประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน และไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ เห็นควรยุติเรื่อง
แต่เนื่องจากการกระทำของนายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ตามที่ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์หมิ่นเหม่ต่อการกระทำความผิด เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น และให้นายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ได้พึงสังวรในพฤติกรรมตามที่กระทำ เห็นควรมอบหมายให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 21 ในฐานะผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือนให้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางการดำเนินงานตามโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 21 ได้มีหนังสือว่ากล่าวตักเตือน ลงวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2564 ไปยังนายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ เรียบร้อยแล้ว
จึงเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป