3 หน่วยงาน ‘คลัง-ก.ล.ต.-ตลท.’ แถลงฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน ‘พิชัย’ จ่อฟื้น ‘กองทุนรวมวายุภักษ์’ ขนาด 1-1.5 แสนล้าน พร้อมชง 'ครม.' รื้อเงื่อนไขลงทุน ‘กองทุน TESG’ ลดเวลาถือครองหน่วยเหลือ 5 ปี-เพิ่มหักลดหย่อนฯเป็นไม่เกิน 3 แสนบาท
....................................
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ,นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกันแถลงแนวทาง ‘การขับเคลื่อนตลาดทุน’ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
โดย นายพิชัย ระบุว่า อีกไม่เกิน 2 สัปดาห์ข้างหน้า กระทรวงการคลังจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีทางเลือกในการออมเพิ่มขึ้น นอกจากฝากเงินในธนาคาร และเพื่อทำให้ประชาชนที่ออมได้รับผลตอบแทน ไม่เสียหาย จึงต้องเป็นการลงทุนในธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG (Environmental ,Social ,Governance) ซึ่งน่าจะมีความยั่งยืน
“กองทุน TESG เดิม จะมีหุ้นให้เลือก 100 กว่าตัว แต่วันนี้เราจะเพิ่มความยั่งยืน ไม่ใช่เอาเฉพาะคนที่โตแล้ว คนไหนที่เปิดเผยว่าทำอะไร กำลังจะทำอะไร เพื่อสร้างความยั่งยืน บอกถึงอนาคตได้ว่าจะไปทางไหน จะลงทุนอะไร แล้วคนอ่านเข้าใจ ก็จะมาอยู่ในกลุ่มที่ TESG จะลงทุนได้ จะเป็นหุ้นตัวเล็กก็ยังได้ และอีกหน่อยหุ้นที่กองทุน TESG จะลงทุนได้คงไม่ใช่ 100 กว่าตัว อาจจะเป็น 200 ตัว แต่ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการเลือก
ส่วนของอายุ (ระยะเวลาการถือครอง) กรมสรรพากรใช้เวลาคิดอยู่นาน ก็มานั่งดูแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะลดลงจาก 8 ปีเหลือ 5 ปี เพราะจะมีอิมแพคค่อนข้างสูง ถ้าลงวันนี้ อีก 5 ปี ก็ออก แล้วคิดใหม่ได้ ก็จะช่วยทั้งเรื่องการออมและเลือกตัวที่ปลอดภัยได้ ในขณะที่เงื่อนไขการลงทุนในกองทุน TESG ดังกล่าว จะมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 และมั่นใจว่าแนวทางส่งเสริมการลงทุนอันนี้ จะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดแน่นอน” นายพิชัย กล่าว
(พิชัย ชุณหวชิร)
นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังยังมีแนวคิดในการจัดตั้ง ‘กองทุนรวมวายุภักษ์’ ขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับกองทุนรวมวายุภักษ์ในช่วงก่อนหน้านี้ ที่มีการการันตีผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วย 3% ต่อปี และอาจได้ผลตอบแทนสูงถึง 7-9% ต่อปี ทั้งนี้ คาดว่ากองทุนรวมวายุภักษ์ที่จะมีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่ดังกล่าว จะมีการขายหน่วยลงทุนประมาณ 1-1.5 แสนล้านบาท และแนวทางนี้จะช่วยสร้างแรงจูงใจในการสร้างเงินออมให้ประเทศด้วย
“เมื่อก่อนทำไว้ ไม่พอจำหน่าย ตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าถ้าเราทำกองทุนวายุภักษ์ขึ้นมาใหม่ ตอนนี้หน่วย ข. มีประมาณ 3.5 แสนล้านบาท สมมติว่าผมจำหน่ายตรงนี้ (หน่วย ก.) 1-1.5 แสนล้านบาท รวม 2 กอง คือ 5 แสนล้านบาท ถ้าผลตอบแทน 3% ท่านก็ได้ 3% ทางนี้ (หน่วย ข.) ก็ได้ 3% ถ้าผลตอบแทนได้ 1% ท่านก็ได้ 3% แต่ทางนี้ได้ไม่ถึง เป็นต้น เป็นการดีไซน์เดิม และเงื่อนไขนี้ก็ยังอยู่ เพียงแต่เราไม่ได้ระดมใหม่เท่านั้นเอง มันหมดไปสำหรับรุ่นแรก” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย ย้ำว่า "เรากำลังดูอยู่ว่ารูปแบบ (กองทุนรวมวายุภักษ์ใหม่) ควรเป็นอย่างไร ที่ดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น"
นายพิชัย ระบุด้วยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.4-2.5% จากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงการที่รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐให้เป็นไปตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะเร่งรัดขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ให้ขยายตัวได้ 3% หรือใกล้ๆ 3% และคาดว่าในช่วง 4 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3% กว่าๆ ซึ่งการขยายตัวดังกล่าว เป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ใส่โครงการใหม่ๆเข้าไป
นายพิชัย กล่าวถึงสถานการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทย ว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงตามผลประกอบการ แต่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
“ตอนที่ดัชนีอยู่ที่ 1,500-1,600 มีคนถามผมว่า 1,500-1,600 เมื่อเทียบกับ performance (ผลงาน) แล้ว หุ้นแพงไหม พี/อี สูงไปไหม วันนั้นก็บอกว่าใกล้เคียงๆ 1,500 บวกลบ พอไปได้ แต่วันนี้ถ้าท่านดู ไตรมาส 1/2567 กำไรของตลาดหลักทรัพย์ฯโตขึ้นมา 1.7% แต่ถ้าลองไปดูเฉพาะภาคท่องเที่ยวและกลุ่มที่มีมีความสัมพันธ์กับภาคการท่องเที่ยวพบว่าโตถึง 29% เลย จุดนี้ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจในประเทศไทยเริ่มแบ่งชัดเจนว่าธุรกิจไหนเป็นที่น่าสนใจ” นายพิชัย กล่าว
ด้าน นางพรอนงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับรายละเอียดการปรับปรุงเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน TESG ที่กระทรวงการคลังจะเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบนั้น จะมีการขยายวงเงินหักลดหย่อนภาษีฯให้กับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนเป็นไม่เกิน 3 แสนบาท จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1 แสนบาท และลดระยะเวลาการถือครองฯเหลือ 5 ปีนับตั้งแต่วันซื้อ จากเดิมที่กำหนดระยะเวลาการถือครองไว้ที่ 8 ปีนับตั้งแต่วันซื้อ
พร้อมทั้งปรับเงื่อนไขให้กองทุน TESG สามารถไปลงทุนในบริษัทที่มีการเปิดเผยข้อมูลด้านธรรมภิบาล (G) ได้ ส่งผลให้กองทุน TESG ลงทุนในบริษัทจดทะเบียนได้เพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 200 บริษัท/หุ้น จากปัจจุบันที่กำหนดให้กองทุนฯลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม (E) ซึ่งมีประมาณ 128 บริษัท/หุ้น หรือรวมแล้ว กองทุน TESG จะสามารถเข้าไปลงทุนในบริษัทจดทะเบียนฯได้ไม่น้อยกว่า 328 บริษัท/หุ้น
นางพรอนงค์ ระบุว่า การปรับปรุงเงื่อนไขกองทุน TESG ในครั้งนี้ จะให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 ม.ค.2567 และคาดว่าในปี 2567 จะมีเม็ดเงินเข้ามาซื้อกองทุน TESG เข้ามาเพิ่มอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ ขณะที่กระทรวงการคลังคาดว่าภาครัฐจะสูญเสียรายได้ไม่เกิน 1.3 หมื่นล้านบาท แต่จะสร้างผลกระทบในการเปลี่ยนเงินออมมาเป็นเงินลงทุน
ขณะที่ นายภากร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตลท.ได้ออกมาตรการยกระดับกระบวนการกำกับดูแลตลาดทุนทั้ง 5 ขั้นตอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ตั้งแต่ก่อนบริษัทเข้ามาจดทะเบียน ไปจนถึงกระบวนการเพิกถอนบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ (Delisting) นอกจากนี้ ก.ล.ต.ได้กำหนดมาตรการเพื่อลดความผันผวนที่ผิดปกติของราคาหลักทรัพย์ เช่น การทบทวนมาตรการ Short Selling เป็นต้น