ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด 'ก้องเกียรติ แคนสี' อดีตนายกอบต.โนนยอ-พวก เรียกรับเงินจากพนักงานจ้าง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2567 สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดนครราชสีมา เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์คดีที่คณะกรรมการ ป.ป. มีมติชี้มูลความผิดกรณี นายก้องเกียรติ แคนสี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนยอ อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา กับพวก เรียกรับเงินจากพนักงานจ้าง สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลโนนยอ โดยมิชอบ ดังนี้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นดำเนินการไต่สวนเบื้องต้น กรณีกล่าวหา นายก้องเกียรติ แคนสี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนยอ อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา กับพวก เรียกรับเงินจากพนักงานจ้าง สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลโนนยอ โดยมิชอบ
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฎว่า นายก้องเกียรติ แคนสี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนยอ มีอำนาจในการสั่งอนุญาต อนุมัติให้ต่อสัญญาจ้างพนักงานจ้าง สังกัด อบต. โนนยอ ได้สั่งการให้นายวุฒิพงษ์ ทองสิทธิ์ รองนายกฯ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 นายจักรี ห้วยใหญ่ รองนายกฯ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และ นายบรรจง เพื่อนพิมาย เลขานุการนายกฯ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 เรียกพนักงานจ้างที่จะหมดสัญญาจ้างและประสงค์จะต่อสัญญาจ้างกับองค์การบริหารส่วนตำบลโนนยอเพื่อพูดคุยเรื่องการต่อสัญญาจ้างจำนวน 7 คน ณ ห้องประชุม อบต. โนนยอ ในวันที่ 20 กันยายน 2559 เวลา 10.30 น. โดยได้ร่วมกันเรียกเงินจากนายเกรียงไกร ไพลดำ ตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ และนายมานะ สุดขำ ตำแหน่งภารโรง จำนวนคนละ 10,000 บาท และเรียกเงินจากพนักงานจ้างคนอื่น ๆ จำนวนคนละ 5,000 บาท เพื่อที่จะให้พนักงานจ้างได้รับการต่อสัญญาจ้างกับ อบต. โนนยอ ต่อไป โดยกล่าวอ้างว่าจะนำเงินดังกล่าวไปจ่ายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟให้แก่อำเภอชุมพวง ตามที่นายก้องเกียรติ แคนสี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 สั่งการมา
ประกอบกับปรากฎพฤติการณ์ว่าหลังจากประชุมเสร็จแล้ว นายเกรียงไกร และนายมานะ ได้เข้าไปพบนายก้องเกียรติที่ห้องทำงานและถามว่าทำไมไม่ให้จ่ายเงินเท่ากันคนละ 5,000 บาท ซึ่งนายก้องเกียรติได้ยืนยันว่าให้บุคคลทั้งสองจ่ายเงินเป็นค่าน้ำ คำไฟ ให้อำเภอชุมพวง คนละ 10,000 บาท ภายในวันที่ 25 กันยายน 2559 เพราะต้องเร่งส่งรายชื่อต่อสัญญาจ้างให้จังหวัดนครราชสีมา และแจ้งว่าถ้าไม่ให้เงินก็ถือว่าไม่ต่อสัญญาจ้าง ก็จะเอาคนอื่นมาทำงานแทน ซึ่งในทางไต่สวนได้ความว่า อำเภอชุมพวงไม่ได้มีการเรียกเก็บค่าน้ำ ค่าไฟ หรือได้รับเงินช่วยเหลือค่าน้ำหรือค่าไฟ จาก อบต. โนนยอ แต่อย่างใด
และเมื่อผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้รับบันทึกเสนอผลการพิจารณากลั่นกรองคะแนนประเมินพนักงานจ้าง เพื่อนำผลการประเมินไปประกอบการเลื่อนค่าตอบแทนพนักงานจ้างและต่อสัญญาจ้าง โดยเสนอผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นแล้ว ซึ่งผู้บังคับบัญชาชั้นต้นได้มีความเห็นควรพิจารณาตามที่นางสาวนิติกานส์ ประจง นักทรัพยากรบุคคล เสนอเพื่อเลื่อนค่าตอบแทนและต่อสัญญาจ้างให้แก่พนักงานจ้าง แต่กลับมีความเห็นไม่ต่อสัญญาจ้างให้นายเกรียงไกร ไพลดำ ตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ กับนายมานะ สุดขำ ตำแหน่งภารโรง
ทั้งที่นายเกรียงไกร ไพลดำ และนายมานะ สุดขำ ได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานทั้งสองรอบการประเมินในปีงบประมาณ 2559 อยู่ระดับดี กอปรกับตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ และตำแหน่งภารโรง มีเพียง 1 ตำแหน่ง เป็นตำแหน่งที่มีความจำเป็น จึงอยู่ในหลักกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะต้องต่อสัญญาจ้างกับบุคคลทั้งสอง แม้นางสาวนิติกานต์ ประจง นักทรัพยากรบุคคล จะได้ทำบันทึกเพื่อให้ทบทวนคำสั่งกรณีไม่ต่อสัญญาจ้างเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ยังยืนยันคำสั่งเดิมคือไม่ต่อสัญญาจ้าง และได้ลงนามในหนังสือไม่ต่อสัญญาจ้าง แจ้งให้บุคคลทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่ พร้อมกับได้ลงนามในหนังสือรายงานการไม่ต่อสัญญาจ้างของพนักงานจ้างถึงคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครราชสีมา
พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า นายก้องเกียรติ แคนสี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จงใจไม่ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครราชสีมา ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2557 และแนวปฏิบัติตามหนังสือวิทยุสื่อสารในราชการกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0809.2/ว 006 ลงวันที่ 22 กันยายน 2558 อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต และได้ร่วมกันเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
จากกรณีดังกล่าวได้มีการฟ้องศาลปกครองนครราชสีมาศาลพิจารณาแล้วว่าการที่ อบต. โนนยอ ไม่ต่อสัญญาจ้างให้แก่นายเกรียงไกร ไพลดำ และนายมานะ สุดขำ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครราชสีมา เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับพนักงานจ้าง ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2557 และแนวปฏิบัติตามหนังสือวิทยุสื่อสารในราชการกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0809.2/ว 006 ลงวันที่ 22 กันยายน 2554 จึงพิพากษาให้องค์การบริหารส่วนตำบลโนนยอ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายเกรียงไกร ไพลดำ เป็นเงินจำนวน 75,240 บาท และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายมานะ สุดขำ เป็นเงินจำนวน 30,000 บาท
ต่อมา อบต.โนนยอ ได้ดำเนินการตามคำพิพากษา โดยเบิกจ่ายเงินจำนวน 105,240 บาท ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายเกรียงไกร ไพลดำ และนายมานะ สุดขำ ซึ่งบุคคลทั้งสองได้รับเงินชดใช้เรียบร้อยแล้ว และอบต. โนนยอ จึงส่งเรื่องให้อำเภอชุมพวงพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และคณะกรรมการฯ จึงมีมติให้นายก้องเกียรติ แคนสี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนยอ ชดใช้เงินจำนวน 105,240 บาท เต็มจำนวนแก่ อบต.โนนยอ ต่อมาวันที่ 4 สิงหาคม 2563 นายก้องเกียรติ แคนสี ได้ชำระค่าสินไหมทดแทน
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ จำนวน 105,240 บาท ดังกล่าวแล้ว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
1. การกระทำของนายก้องเกียรติ แคนสี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดฐานกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92
2. การกระทำของนายวุฒิพงษ์ ทองสิทธิ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และนายจักรี ห้วยใหญ่ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมที่จะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมีมูลความผิดฐานกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือ ปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92
3. การกระทำของนายบรรจง เพื่อนพิมาย ผู้กล่าวหาที่ 4 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายก้องเกียรติ แคนสี นายวุฒิพงษ์ ทองสิทธิ์ นายจักรี ห้วยใหญ่ และนายบรรจง เพื่อนพิมาย
และส่งสำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐาน พร้อมความคิดเห็นไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจกับนายก้องเกียรติ แคนสี นายวุฒิพงษ์ ทองสิทธิ์ และนายจักรี ห้วยใหญ่ ตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป
ทั้งนี้ ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน