ตร.อินเดียจับนักธุรกิจเอี่ยวขบวนการฉ้อโกงภาษี 6.5 หมื่น ล. เผยพฤติการณ์มีส่วนร่วมตั้งบริษัทเปลือกหลายแห่ง โยงธุรกรรมใน ตปท.รวมที่ไทยด้วย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวคดีฉ้อโกงจากต่างประเทศที่เชื่อมโยงมาถึงการตั้งบริษัทในประเทศไทยว่าเมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา นายทูชาร์ คุปตะ วัย 39 ปี ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยรายที่ 33 ที่มีความเชื่อมโยงกับกรณีการฉ้อโกงภาษีสินค้าและบริการ(GST)คิดเป็นมูลค่าถึง 1.5 แสนล้านรูปี (65,419,410,000 บาท) โดยเหตุฉ้อโกงนี้ถูกเปิดโปงโดยตำรวจเมืองโนอิดาเมื่อปีที่แล้ว
ตามรายงานของสำนักข่าวไทม์สออฟอินเดีย (TOI) พบว่านายคุปตะได้มีการใช้สิ่งที่เรียกว่าการขอเก็บเครดิตภาษี (Input Tax Credit : ITC) ผ่านบริษัทปลอมหรือบริษัทที่ไม่ได้ประกอบกิจการจำนวนกว่า 35 แห่ง ส่งผลทำให้เกิดความสูญเสีย 240 ล้านรูปี (104,671,056 บาท) ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
รายงานข่าวจากอินเดียระบุว่านายคุปตะมีส่วนเชื่อมโยงกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพฤติการณ์ฉ้อโกงด้วยการจัดตั้งบริษัทเปลือกหอยกว่า 3,300 แห่ง โดยบริษัทเหล่านี้พบว่ามีการใช้เอกสารปลอมต่างๆ อาทิสัญญาเช่าปลอม,เอกสารค่าไฟปลอม,บัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Adhaar) ปลอมเป็นต้น
TOI รายงานว่าบริษัทที่ถูกจัดตั้งปลอมๆเหล่านี้ถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างสิ่งที่เรียกว่าใบเรียกเก็บเงินอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นเอกสารจำเป็นเพื่อใช้ในการหลอกว่ามีการขนส่งและบริการเกิดขึ้นจริง และใบเรียกเก็บเงินที่ว่านี้จะถูกนำไปให้เพื่อขอคืนค่า ITC ต่อไป
สำหรับที่ประเทศอินเดีย ITC ถือเป็นกลไกที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถขอเงินคืนจากรัฐบาลจากโครงการชดเชย GST ได้ อย่างไรก็ตามโครงการนี้กำลังถูกหาผลประโยชน์โดยองค์กรฉ้อโกงที่มีคามซับซ้อน ขณะที่หน่วยงานป้องกันอาชญากรรมของอินเดียได้เคยดำเนินการตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปีที่แล้วเพื่อรื้อถอนเครือข่ายผู้กระทำความผิดเหล่านี้
TOI รายงานว่าสืบเนื่องจากที่นายคุปตะมาจากครอบครัวผู้สอบบัญชีทำให้เรื่องนี้มีความซับซ้อนขึ้น เนื่องจากเขามีความรู้วงในนำไปสู่ข้อได้เปรียบในการจัดการทางการเงินที่มีความซับซ้อน โดยมีรายงานว่าขอบเขตของกิจกรรมฉ้อโกงภาษีนั้นขยายไปไกลกว่าที่อินเดีย เนื่องจากบริษัทเปลือกหอยที่มีการจัดตั้งไปเกี่ยวกับบริษัทในหลายประเทศ รวมไปถึงบริษัทที่สิงคโปร์ เวียดนาม ไต้หวัน ไทย และฟิลิปปินส์
ขณะที่ตัวนายคุปตะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจอินเดียตั้งข้อหาร้ายแรงในหลายข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงและการปลอมแปลงเอกสาร