การที่ประเทศไทยจะมีรีสอร์ทเพื่อความบันเทิงแห่งใหม่แล้วจะส่งผลทำให้ไทยกลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมรายใหม่ในภูมิภาคเอเชียได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ 3 สิ่งคือ 1.ความสามารถของประเทศไทยในการดึงดูดผู้ประกอบการชั้นนำ 2.ไทยจะสร้างสิ่งที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการผสมผสานทั้งความบันเทิงระดับโลกให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยได้อย่างไร และ 3.ประเทศสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซีย และประเทศอื่นๆในเอเชียจะดำเนินการอย่างไรเพื่อครองส่วนแบ่งการตลาดของตัวเองเอาไว้
กรณีการเปิดบ่อนคาสิโนในประเทศไทย ปัจจุบันยังคงมีข้อถกเถียงกันถึงประเด็นความเหมาะสมและในเรื่องของความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ แต่ไม่นานมานี่สำนักข่าวแชนนอลนิวส์เอเชียของสิงคโปร์ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับสิ่งที่ไทยน่าจะได้รับ และจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หรือไม่ หากการเปิดคาสิโนในไทยนั้นทำได้จริง โดยมีการเทียบกับประเทศอื่นๆที่เปิดเสรีบ่อนคาสิโน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทความดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
เมืองมาเก๊า,เก็นติ้งไฮแลนด์ของมาเลเซีย และมารีน่าเบย์ ประเทศสิงคโปร์ เป็นตัวอย่างหนึ่งของพื้นที่ที่มีการเปิดบ่อนคาสิโน คำถามคือกรุงเทพจะกลายเป็นแหล่งถัดไปสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในเรื่องของการพนันได้หรือไม่
ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีที่รัฐบาลชุดปัจจุบันของไทยได้เข้าสู่อำนาจ มีความก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องการทำคาสิโนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งความพยายามนี้เป็นการสานต่อรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 20 กว่าปีก่อน โดยนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ตั้งเป้าว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกัการจัดตั้งบ่อนคาสิโนน่าจะผ่านได้ในช่วงต้นปี 2568
ถ้าเป็นเช่นนั้น คาสิโนที่ถูกกฎหมายแห่งแรกของประเทศไทยจะสามารถเปิดได้ภายในปี 2572 ซึ่งแซงหน้าญี่ปุ่นที่มีกำหนดการเปิดตัวรีสอร์ทแบบบูรณาการรายใหญ่แห่งต่อไปในเอเชีย ดำเนินกิจการโดยบริษัท MGM Osaka และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2573 หลังจากได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลญี่ปุ่นในปี 2566 ซึ่งเหตุผลที่ไทยน่าจะดำเนินการได้เร็วกว่า เพราะประสิทธิภาพของกระบวนการของประเทศไทยตรงกันข้ามกับเส้นทางที่คดเคี้ยวของญี่ปุ่นในการออกกฎหมายคาสิโน
การดำเนินการอย่างรวดเร็วนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นายเศรษฐาต้องต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังชะลอตัว
แผนการที่จะสร้าง “ศูนย์รวมความบันเทิง” ขนาดใหญ่ ซึ่งวางแผนเอาไว้สำหรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนั้นหมายความว่าอาจจะมีศูนย์รวมที่ว่านี้อย่างน้อยสองแห่งในกรุงเทพ และอีกหนึ่งแห่งที่ภูเก็ต โดยคาดกันว่าจะสามารถนำการลงทุนจากต่างชาติเข้ามายังไทย,สามารถสร้างงาน รายได้และส่งเสริมการท่องเที่ยวครั้งใหญ่ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าประเทศไทยอาจจะออกบอนุญาตให้มีศูนย์รวมนี้ 5-8 แห่ง
ประเทศไทยคาดว่าในปีนี้จะต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่า 36 ล้านคน ซึ่งใกล้ถึงจุดสูงสุดก่อนเกิดโรคระบาด ซึ่งอยู่ที่ 40 ล้านคน การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งนี้ช่วยเสริมความเชื่อมั่นของรัฐบาลในการคิดเดินหน้าเรื่องคาสิโนและอาจแซงหน้าความสําเร็จของสิงคโปร์ด้วยการสร้างรีสอร์ทแบบบูรณาการ
—
แผนการสร้างคอมเพล็กซ์คาสิโนที่โอซาก้า (อ้างอิงวิดีโอจาก 8 News Now Las Vegas)
@จากมารีน่าเบย์ถึงเจ้าพระยา
มีการพูดถึงการสร้างศูนย์รวมความบันเทิงริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งนี่ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับมารีน่าเบย์แซนด์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามความสำเร็จของสิงคโปร์นั้นมากกว่าการสร้างรีสอร์ทริมอ่าวเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างย่านใจกลางเมืองขึ้นมาใหม่ให้ผสมผสานระหว่างพื้นที่สำนักงานและอุตสาหกรรมความบันเทิง ซึ่งกรณีของมารีน่าเบย์สะท้อนให้เห็นถึงการพลิกโฉมจากท่าเรือร้าง Canary Wharf ในกรุงลอนดอนให้ประสบความสำเร็จกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญ
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นการพัฒนาพื้นที่คลองเตยของไทยน่าจะมีความคล้ายคลึงกับมารีน่าเบย์ของสิงคโปร์มากกว่า เพราะมีจุดมุ่งหมายที่จะนำเอาที่ดินทำเลดีที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาใช้ใหม่สำหรับอาคารสำนักงาน โรงแรม พื้นที่ค้าปลีก ศูนย์ประชุม สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์และศูนย์ล่องเรือ
@การดึงดูดผู้ประกอบการคาสิโน
อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐาได้เคยออกมาพูดชัดเจนว่าภายในวาระการดำรงตำแหน่ง การสร้างศูนย์รวมความบันเทิงที่ว่านี้จะต้องเกิดขึ้นให้ได้ ดังนั้นจึงมีการมองไปไกลกว่าแค่ที่กรุงเทพ
มีการพูดถึง จ.เชียงใหม่ หรือ จ.ระยอง ที่ห่างจากพัทยาด้วยระยะขับรถประมาณ 50 นาที ไปทางชายฝั่งตะวันออก ซึ่งดูน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าสำหรับโครงการนำร่องเพื่อจะตั้งศูนย์รวมความบันเทิง ในขณะที่โครงการพัฒนาใหม่พื้นที่คลองเตยมีแนวโน้มว่าจะกินเวลานานกว่าทศวรรษ
อย่างไรก็ตามแม้จะมีกำหนดการพัฒนาพื้นที่คลองเตยที่ออกมาในภายหลัง ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่อาจจะมีการประมูลใบอนุญาตพัฒนาศูนย์รวมความบันเทิงที่คลองเตยเป็นแห่งแรก โดยประเทศไทยอาจนำเอาแนวทางของสิงคโปร์มาปรับใช้ ด้วยการประมูลสัมปทานจากผู้ที่ยื่นข้อเสนอน่าสนใจมากที่สุดไปจนถึงน้อยที่สุด
การทำเช่นนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าการออกใบอนุญาตศูนย์รวมความบันเทิงในแต่ละใบนั้นจะสามารถเพิ่มการแข่งขัน ดึงดูดกลุ่มผู้เสนอราคาที่มีความแข็งแกร่ง และมูลค่าสูงที่สุดไปได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นมองข้ามไปเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการที่ญี่ปุ่นไม่มีแนวทางที่ชัดเจน แต่ละจังหวัดของญี่ปุ่นจึงต้องแข่งกันเองอย่างไม่ตั้งใจเพื่อดึงดูดผู้ประกอบการคาสิโน
การต่อต้านของสาธารณชนไทยเกี่ยวกับการทำให้คาสิโนถูกกฎหมายนั้นค่อนข้างอ่อนแอ ตอนนี้ไทยกำลังพิจารณานำรูปแบบสิงคโปร์มาเป็นแนวทางเพื่อเดินมาตรการป้องกันทางสังคม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการพิจารณาเรื่องการคิดค่าเข้าพื้นที่สำหรับคนไทย และการจํากัดพื้นที่คาสิโนไว้ที่ร้อยละ 5 ของรีสอร์ททั้งหมด
ทว่ากลุ่มนักลงทุนยังคงมีความสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของประเทศไทยในการสร้างและบังคับใช้กรอบการกํากับดูแลที่เข้มงวด ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญในการดึงดูดผู้ประกอบการรีสอร์ทคาสิโนชั้นนําจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกผูกมัดตามข้อกําหนดด้านกฎระเบียบให้ลงทุนเฉพาะในเขตอํานาจศาลที่มีมาตรฐานการกํากับดูแลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดเท่านั้น
แต่สิ่งที่ชัดเจนคือมีความตั้งใจทางการเมืองในพรรคการเมืองของไทยที่จะทําให้มันเกิดขึ้น
เก็นติ้งไฮแลนด์ของมาเลเซีย (อ้างอิงวิดีโอจาก DotoDoo)
@ผลกระทบ การหยุดชะงักที่อาจเกิดกับสิงคโปร์และมาเลเซีย
คำถามสำคัญประการหนึ่งคือว่าการที่ไทยจะจัดตั้งศูนย์รวมความบันเทิงจะทำให้อุตสาหกรรมคาสิโนในภูมิภาคหยุดชะงักได้หรือไม่
การที่ประเทศไทยมีตำแหน่งที่ใกล้กับประเทศที่มีคาสิโนอยู่ก่อนแล้ว รวมถึงบทบาทของไทยในด้านการท่องเที่ยว ต้องยอมรับว่านี่อาจเป็นภัยคุกคามต่อผู้ประกอบการคาสิโนในมาเลเซียและในสิงคโปร์ได้ และอีกปัจจัยก็คือว่าการเข้าถึงประเทศไทยนั้นมีราคาถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับสิงคโปร์
ความแตกต่างของแต่ละประเทศจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำให้ประเทศนั้นสามารถปกป้องส่วนแบ่งการตลาดของตัวเองได้หรือไม่ ซึ่งกรณีสิงคโปร์อาจใช้ความมั่นคงในกลุ่มพรีเมียมมาเพื่อปกป้องส่วนแบ่งของตัวเอง
ถ้าหากมีการตั้งศูนย์รวมความบันเทิงในจังหวัดสงขลาและกระบี่ทางตอนใต้ของไทยอาจก่อให้เกิดการแข่งขันที่มากขึ้นกับเก็นติ้งของมาเลเซีย ซึ่งอาจแย่งชิงตลาดลูกค้าหลักในรัฐอิโปห์และปีนังไปก็เป็นได้
ท้ายที่สุดแล้ว การที่ประเทศไทยจะมีรีสอร์ทเพื่อความบันเทิงแห่งใหม่แล้วจะส่งผลทำให้ไทยกลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมรายใหม่ในภูมิภาคเอเชียได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ 3 สิ่งคือ 1.ความสามารถของประเทศไทยในการดึงดูดผู้ประกอบการชั้นนำ 2.ไทยจะสร้างสิ่งที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการผสมผสานทั้งความบันเทิงระดับโลกให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยได้อย่างไร และ 3.ประเทศสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซีย และประเทศอื่นๆในเอเชียจะดำเนินการอย่างไรเพื่อครองส่วนแบ่งการตลาดของตัวเองเอาไว้
เรียบเรียงจาก:https://www.channelnewsasia.com/commentary/thailand-bangkok-visit-casino-gambling-tourism-japan-singapore-marina-bay-4457256