ครม.ไฟเขียว 7 มาตรการกระตุ้น ‘อสังหาริมทรัพย์’ ลดค่าธรรมเนียม ‘โอน-จดจำนอง’ ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท เหลือ 0.01% สูญรายได้เดือนละ 2 พันล้าน เปิดทางนำค่าใช้จ่าย ‘สร้างบ้านใหม่’ หักลดหย่อนภาษีเงินได้ 'บุคคลธรรมดา' ไม่เกิน 1 แสนบาท ขณะที่ ‘ธอส.-ออมสิน’ ลุยปล่อยกู้ 5 หมื่นล้าน
....................................
เมื่อวันที่ 9 เม.ย. นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการที่ภาคอสังหาริมทรัพย์หดตัวสูงถึง 8.8% ในช่วงไตรมาส 4/2566 ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย 7 มาตรการ/โครงการ ได้แก่
1.มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัย ทั้งมือหนึ่งและมือสอง ได้แก่ (1) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้าวแถว (2) อาคารพาณิชย์ และ (3) ห้องชุด ที่มีราคาซื้อขาย ราคาประเมินทุนทรัพย์ และวงเงินจำนอง ไม่เกิน 7 ล้านบาท/สัญญา ซึ่งไม่รวมถึงกรณีการขายเฉพาะส่วน โดยมาตรการดังกล่าวให้มีผลตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2567
2.มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ต้องการปลูกสร้างบ้าน โดยลดหย่อนค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าจ้างก่อสร้างบ้านขึ้นใหม่ ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.2567-31 ธ.ค.2568 รวมแล้วไม่เกิน 1 แสนบาท ทั้งนี้ สัญญาสร้างบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท สามารถหักลดหย่อนได้ 1 หมื่นบาท โดยเศษของ 1 ล้านบาท ให้ปัดลง และหักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท หรือคิดเป็นสัญญาสร้างบ้านใหม่สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท
3.โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สนับสนุนสินเชื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร และเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี วงเงินต่อรายสูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท และระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 ธ.ค.2568 หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ
4.โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท โดย ธอส. สนับสนุนสินเชื่อ ให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อม ปลูกสร้างอาคาร เพื่อต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมอาคาร หรือไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่2.98% ต่อปี วงเงินต่อรายตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ
5.การให้การส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (โครงการบ้าน BOI) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ออกประกาศที่ ส.1/2567 ลงวันที่ 15 มี.ค.2567 ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงิน ไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย
โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข เช่น 1.ที่อยู่อาศัยที่ขอรับการส่งเสริม กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร และกรณีบ้านเดี่ยวหรือบ้านแถว ต้องพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร 2.การก่อสร้างที่อยู่อาศัย ที่ขอรับการส่งเสริมต้องจำหน่ายให้บุคคลธรรมดาเท่านั้น โดยก่อสร้างที่อยู่อาศัย (รวมค่าที่ดิน) ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
3.ต้องมีที่อยู่อาศัยตามเงื่อนไขที่กำหนดไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของที่อยู่อาศัยทั้งโครงการ 4.มีแผนผังและแบบแปลน ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และได้รับการอนุญาตก่อสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และ 5.ต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2568 เป็นต้น
นอกจากนี้ ธนาคารออมสินได้จัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์อีก 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการสินเชื่อบ้านออมสินเพื่อประชาชน วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนสินเชื่อสำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ห้องชุด หรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.95% ต่อปี โดยปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ย 1.95% วงเงินกู้ต่อรายสูงสุดไม่เกิน 7 ล้านบาท โดยมีระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี พร้อมเงื่อนไขเงินงวดผ่อนชำระต่ำพิเศษ เริ่มต้น 2,500 บาทต่อเดือน โดยสามารถยื่นคำขอกู้กับธนาคารออมสินได้ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.2567 ถึงวันที่ 30 ธ.ค.2567
2.โครงการสินเชื่อ D-HOME สำหรับผู้ประกอบการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการนำไปเป็นเงินลงทุน ได้แก่ ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าพัฒนาสาธารณูปโภค หรือเป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.50% ต่อปี ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 4 ปี ฟรีค่าธรรมเนียม โดยสามารถยื่นคำขอกู้ได้กับธนาคารออมสินตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.2567 เป็นต้นไป
นายกฤษฎา ยังระบุว่า ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เช่น การผ่อนปรนระยะเวลาในค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ให้มีระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น ซึ่งกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงมหาดไทยจะไปหารือกันว่าจะผ่อนปรนได้เป็นเวลาเท่าไหร่ ,การพิจารณาในเรื่องการขยายระยะเวลาวีซ่าสำหรับคนต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน และมีการจับจ่ายใช้สอยในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมถึงเรื่อง LTV ด้วย
“ในเรื่องของ LTV อยากจะให้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปทบทวน พิจารณาดูอีกซักหน่อยว่า จะสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง และยังมีเรื่อง EIA ซึ่งวันนี้มีความเสี่ยงของผู้ประกอบการพอสมควร คงต้องให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯไปพิจารณาว่า ทำอย่างไรที่จะให้มีความเสี่ยงน้อยลง หรือไม่มีความเสี่ยงเลย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ซื้อบ้านหรือคอนโดไปแล้ว เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาต่อไปในอนาคต” นายกฤษฎา กล่าว
ด้าน นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและลดค่าจดทะเบียนการจำนอง เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จะทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สูญเสียรายได้ 2,000 ล้านบาท/เดือน อย่างไรก็ดี อปท.จะมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูญเสียได้ และยังกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมในพื้นที่ได้
ส่วนผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ กระทรวงการคลังประเมินว่า จะทำให้เศรษฐกิจปี 2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.7-1.8% แบ่งเป็น การลดค่าธรรมเนียมและลดค่าจดทะเบียนการจำนอง ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 1.58% ,การลดหย่อนภาษีฯสร้างบ้านใหม่ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 0.01% , สินเชื่อของ ธอส. ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 0.07-0.08% และสินเชื่อของธนาคารออมสิน ซึ่งมีผลกระทบต่อกระทบต่อเศรษฐกิจ 0.07-0.08%
ขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถลงหลังการประชุม ครม. ว่า ที่ประชุม ครม. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ โดยกระทรวงการคลังจะแถลงรายละเอียดในช่วงบ่ายวันนี้ (9 เม.ย.)