'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' เผยความในใจ อาจเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายของชีวิต ชี้ยิ่งยุบพรรคก้าวไกลยิ่งไปถึงเส้นชัยเร็วขึ้น จวกรัฐบาลสิ่งที่หาเสียไว้ไม่ทำ-ทำในสิ่งที่ไม่ได้หาเสียง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2567 เวลาประมาณ 01.19 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1 ครั้งที่ 32 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง เป็นพิเศษ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 วันที่สอง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายปิดท้ายการอภิปรายตามมาตรา 152
นายพิธา กล่าวว่า สำหรับการอภิปรายมาตรา 152 ขอเริ่มต้นพูดความในใจว่า ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมาไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นฝ่ายบริหาร ไม่เสียใจที่ได้เป็นฝ่ายค้าน เป็นฝ่ายค้านก็สามารถทำงานให้กับประชาชนได้ ไม่เคยเสียใจเลยว่าการอภิปรายครั้งนี้อาจจะเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายในชีวิต เพราะทุกท่านทราบกันดีว่าเป็นเพราะเหตุใด ไม่มีสิ่งใดที่ต้องค้างคาอีกต่อไป มั่นใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกลทั้งการยุบพรรคหรือทำลายพรรคไม่ได้ทำให้การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยหายไป ยิ่งยุบพรรคยิ่งจะทำให้ไปถึงเส้นชัยได้เร็วมากขึ้นด้วยซ้ำ ถึงตนเองจะไม่เสียใจ แต่เสียดาย ยิ่งได้ฟังการชี้แจงของรัฐบาลใน 2 วันที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย เสียดายศรัทธาประชาชน เสียดายที่ตนเองเคยให้คะแนนพรรคจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ปี 2543 ที่ไม่เคยโหวตพรรคอื่นนอกจากพรรคเพื่อไทย จนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่มีการอภิปรายก็พบว่ามีแต่ความล่องลอย ฟังแล้วไม่รู้ว่าวาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร
"สิ่งที่หาเสียงไว้ก็ไม่ทำ สิ่งที่ทำอยู่ก็ไม่ได้หาเสียง ทำให้ผมรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ ไม่มีวาระเป็นของตัวเอง พอไร้วาระก็ไร้วิสัยทัศน์ ไร้วิสัยทัศน์ก็ไร้ผลงาน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจนรู้สึกเสียดายเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา" นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า จะสรุปสั้น ๆ ว่า กังวลว่าวิสัยทัศน์แปดด้านของรัฐบาล คือ ความมืดแปดด้านของประชาชน ได้แก่ 1.มืดเรื่องปากท้อง 2.มืดแก้ส่วย 3.มืดผูกขาด โดยความมืด 3 ประการข้างต้นรัฐบาลล้มเหลวโดยสิ้นเชิง 4.มืดกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.มืดแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ประการนี้ล่าช้า 6.มืดปฏิรูปกองทัพ 7.มืดมนคุณภาพชีวิต 8.มืดกระบวนการยุติธรรม 3 ประการสุดท้ายนี้รัฐบาลละเลย
นายพิธา กล่าวว่า ทั้งนี้ตนเองรู้สึกว่ามีสิ่งเดียวที่ยังถกไม่ตกผลึก คือ การปฏิรูปกองทัพ ที่นายกฯบอกว่างงฝ่ายค้านพูดแต่เรื่องเดิม ตนเองก็งงเช่นกันว่านายกฯพูดไม่เหมือนเดิม
โดยจุดยืนในการปฏิรูปกองทัพของพรรคก้าวไกล คือ ปฏิรูปกองทัพเพื่อป้องกันการแทรกแซงทางการเมืองและบริหารราชการแผ่นดิน ให้มีความเป็นทหารอาชีพ เสนอกฎหมายป้องกันและต่อต้านการทำรัฐประหาร และแก้ไขยกเลิกการเกณฑ์ทหารให้สมัครโดยสมัครใจ
"อันนี้ก็เป็นจุดยืนของพรรคก้าวไกล ที่อาจจะแปลกประหลาดไปนิดหนึ่ง คือ ผมกำลังอ่านนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ยื่นกับกกต. อันนี้ฝ่ายค้านเลยงง เพราะตอนที่เป็นฝ่ายค้านด้วยกันก็คิดเหมือนกัน พอขึ้นเวทีดีเบตก็พูดเหมือนกัน พอผมมาพูดอีกครั้งผมก็พูดเหมือนเดิม ท่านก็บอกว่างงว่าผมพูดเรื่องเดิม ไอโอบ้าง อาวุธบ้าง วิธีการปฏิรูปที่นุ่มนวลไม่ต้องก้าวร้าว ที่รัฐมนตรีสุทิน คลังแสง อภิปรายผมว่าสุดยอดมาก น่าเสียดายที่ไม่ได้พูดก่อนเลือกตั้งว่าจะใช้วิธีแบบนี้ " นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวต่อว่า ถ้ารัฐบาลยังงงกับเรื่องไอโอก็ขอเสนอให้ไปอ่านรายงานของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เรื่อง ไอโอ โดย the royal thai army ที่จัดทำก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาล ที่ระบุว่าไอโอมีจริงในประเทศไทยและทำโดยทหารไทย นอกจากนี้นายพิธายังแนะนำรายงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาไอโอให้รัฐบาลไปศึกษาเพิ่มเติม
นายพิธา กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่ 2 ที่รัฐบาลยังงงเรื่องเกี่ยวกับอาวุธ ว่าจุดยืนของพรรคก้าวไกลเป็นอย่างไรกันแน่ ที่บอกว่าจะนำเรือประมงไปรบ ขอเดาว่าเป็นตนเองเพราะเคยพูดในเวทีดีเบต เรื่องดังกล่าวมีข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ คือ ประเด็นที่การทำสงครามพัฒนาไปเป็นสงครามผสม ที่มีการใช้เรือประมงปลอมเป็นส่วนหนึ่งของอาวุธกองทัพ ในการทำลายหรือทางด้านจิตวิทยา ซึ่งมีข้อมูลยืนยันจากหลายสำนักข่าวระดับโลกและทหารเรือ
"คุณมีอาวุธยิ่งใหญ่ขนาดไหน คุณก็ยิงเรือประมงไม่ได้ เพราะผิดกฎ แต่เทคนิคในการทำสงครามเปลี่ยนไปมาก ซึ่งเกิดขึ้นแถวทะเลจีนใต้ ที่มีการนำเรือประมงผสมกับเรือรบในการทำจิตวิทยาทางการรบ" นายพิธากล่าว
นายพิธา กล่าวว่า ส่วนเรื่องเรือฟริเกตนั้น หลักคิดในการปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัยของพรรคก้าวไกล คือ ต้องมีอาวุธที่เหมาะสม หมายความว่าอาวุธที่สามารถสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ ต้องไม่เบียดเบียนภาษีประชาชนจนเกินไป ไม่ได้หมายความว่าเราไม่คิดที่ต้องการทำให้กองทัพไม่ทันสมัยและไม่ต้องการให้ซื้ออาวุธใดเลย กรณีที่นายวิโรจน์อภิปรายไปแล้วว่าเรือฟริเกตมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ถ้ามีประโยชน์พวกตนเองก็ไม่ได้ต่อต้าน