‘ศาลชั้นต้น’ พิพากษาคดี ‘ลูกบ้าน’ โครงการคอนโดหรู ‘เขาใหญ่’ ฟ้องเจ้าของโครงการฯข้อหา ‘ฉ้อโกง-ผิด พ.ร.บ.คอมฯ” แล้ว 10 คดี จาก 14 คดี ศาลฯสั่งจำคุก '2 จำเลย' คนละ 19 ปี ขณะที่ 2 คดีล่าสุด คดีแรก ศาลฯยกฟ้องฯ เหตุยังไม่ถึงขนาดรับฟังว่า ‘มีเจตนาปกปิดข้อความจริง’ ส่วนอีกคดี ศาลฯพิพากษาจำคุก '2 จำเลย' คนละ 2 ปี ฐานร่วมกันนำเข้าข้อมูลเท็จฯ
...........................................
สืบเนื่องจากกรณีที่ผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกบ้านโครงการห้องชุดหรูในบริเวณพื้นที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัทเจ้าของโครงการฯกับพวก ต่อศาลอาญา ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ กรณีโฆษณาขายห้องชุดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้โจทก์หลงเชื่อซื้อห้องชุด โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และประชาชนทั่วไป รวมแล้วอย่างน้อย 14 คดี และศาลอาญาได้ทยอยมีคำพิพากษาออกมา นั้น (อ่านประกอบ : ‘ศาลชั้นต้น’สั่งจำคุก 2 ปี-ปรับ 6.6 หมื่น คดีฉ้อโกงลูกบ้านคอนโดหรู‘เขาใหญ่’-ทนายฯจ่ออุทธรณ์)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า จากกรณีดังกล่าว ล่าสุดศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) ได้มีคำพิพากษาไปแล้ว 10 คดี จากทั้งหมด 14 คดี โดยเป็นคดีที่ศาลฯพิพากษาว่า เจ้าของโครงการฯกับพวก กระทำผิดในข้อหาฉ้อโกงประชาชน หรือความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ หรือกระทำผิดทั้ง 2 ข้อหา จำนวน 7 คดี พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 รวมแล้วคนละ 19 ปี และเป็นคดีที่ศาลฯพิพากษายกฟ้อง จำนวน 3 คดี ซึ่งทั้ง 10 คดี อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์ ส่วนอีก 4 คดี อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลชั้นต้น
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า สำหรับ 2 คดีที่ศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) มีคำพิพากษาล่าสุด นั้น ปรากฏว่ามีทั้งคดีที่ศาลฯยกฟ้อง และคดีที่ศาลฯพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดจริงและให้ลงโทษจำเลย ได้แก่
คดีแรก คือ คดีหมายเลขดำที่ อ 795/2565 คดีหมายเลขแดง ที่ อ 282/2567 ซึ่งเป็นคดีที่ผู้บริโภค 2 ราย ยื่นฟ้องเจ้าของโครงการฯกับพวก ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ นั้น ศาลฯพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากยังไม่ถึงขนาดรับฟังว่า จำเลยมีเจตนาปกปิดข้อความจริงซึ่งควรแจ้งแก่โจทก์หรือประชาชน และเห็นว่าเป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวหาความรับผิดชอบกันต่อไปในทางแพ่ง
“...จากปากคำพยานทั้งสองฝ้ายรับฟังได้ว่า โครงการ... มีพื้นที่ 183 ไร่ ใกล้เคียงกับที่โฆษณาว่า 200 ไร่ ประกอบด้วย ทะเลสาบกับพื้นที่ป่า อาคารชุด โรงแรม และพื้นที่กันไว้ใช้ทำบ้านเดี่ยว จำเลยทำสื่อโฆษณาหลายชุดเผยแพร่หลายช่องทางติดต่อกันหลายปี โฆษณาบางชุดเน้นบรรยายรายละเอียดสภาพแวดล้อมโดยรวม เป็นป่ากับทะเลสาบเพื่อสร้างภาพจดจำประทับใจ ไม่ระบุรายละเอียดอาคารชุด
โฆษณาบางชุดก็แจ้งว่าจะสร้างอาคารชุด 5 เฟส ในพื้นที่ 68 ไร่ ทะเลสาบใหญ่อยู่ในดูแล และเป็นส่วนของโรงแรม การนำเสนอข้อมูลโฆษณาหลายอย่าง แต่ละอย่างมีความจริงเป็นส่วนๆ อยู่ในตัว แม้ไม่ได้ความจริงครบถ้วนในโฆษณาเดียว ก็ยังไม่ถึงกับทำให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาทุจริต หลอกลวง ด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จต่อโจทก์หรือลูกค้าประชาชน และนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จหรือบิดเบือน
แต่การเผยแพร่โฆษณาหลายอย่างดังกล่าว คละเคล้ากันไป ย่อมทำให้ลูกค้าประชาชน ซึ่งแต่ละคนมีความสามารถในการรับรู้ต่างกัน ได้รับข้อมูลจากจำเลยไม่เท่ากัน ลูกค้าที่ได้รับข้อมูลครบถ้วน ถ้ายังพอใจในสินค้าก็ทำสัญญาซื้อขาย ถ้าไม่พอใจจำเลยก็ยินยอมคืนเงินจองให้ ไม่มีปัญหาฟ้องร้องกันภายหลัง
ส่วนลูกค้าที่ยังได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน จำเลยผู้ขายมีหน้าที่ต้องอธิบายรายละเอียดให้เข้าใจถ่องแท้ก่อนซื้อขายว่า อาคารชุดมีพื้นที่เพียง 68 ไร่ อยู่ในโครงการเนื้อที่ 200 ไร่ ทะเลสาบใหญ่อยู่ในดูแล เป็นส่วนของโรงแรม
โจทก์ที่ 1 ยืนยันว่า ได้รับข้อมูลโฆษณาโครงการอาคารชุด... มีพื้นที่ 200 ไร่ กับ 7 ทะเลสาบ เมื่อไปดูที่โครงการพนักงานก็แจ้งสำทับว่า โครงการมีพื้นที่ 200 ไร่ กับ 7 ทะเลสาบ และยังพานั่งรถชมสถานที่จริง ก็ยิ่งเข้าใจไปตามนั้น จำเลยได้นำเจ้าหน้าที่ขายมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงว่า ได้อธิบายรายละเอียดอาคารชุดมีพื้นที่ 68 ไร่ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ...ในพื้นที่ 200 ไร่ ให้โจทก์ทราบโดยกระจ่าง
เพียงแต่อ้างว่าเรื่องนี้มีปรากฏในแผ่นพับโฆษณา และเอกสารแนบท้ายบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมสัญญาจะซื้อขาย ซึ่งปรากฏว่าพิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดเล็กมากยากแก่การตรวจดูรู้ได้ นาย ด. พยานจำเลยถึงกับเบิกความว่า เคยใช้แว่นขยายส่องดู ดังนี้ มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่ขายยังสื่อสารทำความเข้าใจกับโจทก์ได้ไม่ตรงกับข้อมูลแท้จริงของโครงการ เป็นข้อบกพร่องในขั้นตอนซื้อขาย ยังไม่ถึงขนาดรับฟังว่าจำเลยทั้งสาม มีเจตนาปกปิดข้อความจริงซึ่งควรแจ้งแก่โจทก์หรือประชาชน
พฤติการณ์จำเลยทั้งสามตามที่กล่าวมา แม้ยังรับฟังได้ไม่ถนัดว่ามีเจตนากระทำความผิดตามฟ้อง แต่ก็เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนเข้าใจว่าอาคารชุดที่จำเลยโฆษณาเสนอขายมีพื้นที่ 200 ไร่ กับ 7 ทะเลสาบ ต่อมาทราบว่าไม่เป็นไปตามความเข้าใจจึงนำคดีไปฟ้องจำเลยทั้งสามทั้งความแพ่งและอาญาเพราะเข้าใจว่าถูกหลอกลวง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวหาความรับผิดชอบกันต่อไปในทางแพ่ง พิพากษายกฟ้อง” ส่วนหนึ่งของคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ 795/2565 คดีหมายเลขแดง ที่ อ 282/2567 ของศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) ลงวันที่ 31 ม.ค.2567 ระบุ
@ลงโทษ‘จำคุก-ปรับ’ร่วมกันนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ส่วนอีกคดี เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ 793/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ 564/2567 ซึ่งเป็นคดีที่ผู้บริโภค 2 ราย ยื่นฟ้องเจ้าของโครงการฯกับพวก ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ เช่นกันนั้น ศาลอาญา (ชั้นต้น) วินิจฉัยว่า จำเลยทั้ง 3 ไม่ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ,343
แต่จำเลยทั้ง 3 ได้ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 กำหนดคนละ 3 ปี
ทางนำสืบของจำเลยทั้ง 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 66,666.67 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 กำหนดคนละ 2 ปี โดยให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษจำคุกในคดีหมายเลขดำที่ อ 787/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ 3505/2566 ของศาลนี้
“จำเลยทั้งสามรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ที่ดินดังกล่าว ที่จำเลยทั้งสามยอมรับมาโดยตลอดว่า ที่ดินทั้งหมดที่นำมาพัฒนา และสร้างเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัยเพื่อนำออกจำหน่ายนั้น มีเพียง 68 ไร่เศษ แม้จะรวมกับที่ดินในส่วนที่จะพัฒนาต่อไปในโครงการอื่นๆ ในอนาคต อย่างไรก็มีไม่ถึง 200 ไร่ ตามที่ตนได้โฆษณามาตั้งแต่แรก แต่ด้วยมีเจตนาทุจริต คิดหวังจะได้ผลประโยชน์ทางธุรกิจแต่ฝ่ายตนอย่างเดียว
จึงทำการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งโฆษณาขายอาคารชุดของจำเลยทั้งสามเป็นเท็จเช่นว่านั้น เพื่อให้ประชาชนที่พบเห็นและดูโฆษณา สะดุดตา จดจำ และสนใจมาเยี่ยมชมและซื้อโครงการห้องชุดของจำเลยทั้งสาม ในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงอันเป็นการเสียทายต่อประชาชน จึงเป็นการร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ตามที่โจทก์ฟ้องจริง
สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341,343 นั้น เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสามร่วมกันทำโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการ... และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยมีข้อความอันเป็นเท็จในส่วนของจำนวนเนื้อที่ดินของโครงการว่ามีเนื้อที่ 200 ไร่ ทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งพบเห็นโฆษณาดังกล่าวสนใจที่จะซื้อโครงการห้องชุด
แต่โจทก์ที่ 1 รับว่า เมื่อสนใจที่จะซื้อโครงการห้องชุดแล้ว ได้เดินทางไปดูสถานที่จริงพนักงานขายได้แนะนำและพาเยี่ยมชมโครงการบริเวณโดยรอบ หลังจากนั้นได้ทำสัญญาจะซื้อจะขาย วางเงินจอง และผ่อนชำระเงินจนครบถ้วน ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก และระยะเวลานานเกือบ 3 ปี จำเลยที่ 1 จึงได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่ตกลงซื้อให้แก่โจทก์ทั้งสอง
ทั้งในระหว่างนั้นจำเลยทั้งสาม ก็ยังมีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์การขายต่อเนื่อง โดยมีการทำเอกสารสื่อการโฆษณาออกมาจำนวนหลายชุด ซึ่งระบุว่าโครงการอาคารชุดดังกล่าวมีเนื้อที่ 68 ไร่ 3 งาน 15 ตารางวา และในขณะทำสัญญาตั้งแต่สัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด และบันทึกตกลงเพิ่มเดิมสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดแล้ว ในเอกสารดังกล่าวมีการระบุเนื้อที่ดินที่ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารชุดที่โจทก์ที่ 1 ซื้อไว้อย่างชัดเจน
และยังมีข้อความระบุว่า “ผู้จะขายและผู้จะซื้อยอมรับว่าที่ดินทะเลสาบ เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ รอบบริเวณทะเลสาบดังกล่าว ตามรูปภาพทะเลสาบโดยสังเขปเอกสารแนบท้าย 2 ไม่เป็นทรัพย์ส่วนกลาง หรือที่ดิน หรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมหรือผู้จะซื้อ...”
แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้โจทก์ที่ 1 ทราบแล้ว ตอนทำสัญญาว่า โครงดังกล่าวมีเนื้อที่ ที่ใช้ก่อสร้างเท่าใด ทะเลสาบ ถนน และต้นไม้รอบทะเลสาบ เป็นของใคร หากเห็นว่าโครงการดังกล่าว ไม่เป็นไปตามที่โฆษณาไว้ โจทก์ที่ 1 มีสิทธิที่จะไม่ซื้อห้องชุดในโครงการดังกล่าว แต่โจทก์ที่ 1 กลับลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวทั้งสองฉบับตกลงทำสัญญาทำสัญญาจะซื้อจะขายพร้อมรับโอนห้องชุดเป็นของตน
ย่อมเป็นการยอมรับข้อความที่ระบุถึงเนื้อที่ที่ใช้ก่อสร้างอาคารชุดและยอมรับว่า ทะเลสาบ ถนนและต้นไม้รอบทะเลสาบ ไม่ใช่ของโครงการดังกล่าว และเอกสารดังกล่าวถูกต้องตามสัญญา จำเลยทั้งสามจึงมิได้หลอกลวงโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343
สำหรับในส่วนที่จำเลยทั้งสามต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 787/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ 3505/2566 ของศาลนี้ นั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสาม ที่ได้ร่วมกันทำสื่อโฆษณาด้วยข้อความอันเป็นเท็จแล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ตั้งค่าเป็นสาธารณะผ่านช่องทางโซเซียลมีเดียทั้งทางยูทูป เฟซบุ๊ค โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยไม่ได้มีการลบข้อความโฆษณาดังกล่าวออก
แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยทั้งสามว่า มีเจตนาทุจริตคิดจะได้ประโยชน์อันมิชอบอยู่ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลเท็จเหล่านั้นยังคงอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อมาเยี่ยมชมโครงการและซื้อห้องชุดในโครงการ...
ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเพื่อหลอกลวงประชาชนอยู่โดยตลอด แม้นางสาว น. ผู้เสียหายอีกคนหนึ่งฟ้องจำเลยทั้งสามในความผิดฐานเดียวกัน โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเดียวกันและศาลได้มีคำวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องนั้นแล้ว
ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้เสียหายอีกคนหนึ่ง ที่ย่อมจะฟ้องจำเลยทั้งสามในกรณีนี้อีกได้ เพราะผู้เสียหายเป็นคนละคน เห็นข้อความโฆษณาที่จำเลยทั้งสามนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์คนละวัน คนละเวลา จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระมิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน ฟ้องโจทก์ทั้งสอง จึงไม่เป็นฟ้องช้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสาม มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 100,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีกำหนดคนละ 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้คนละหนึ่งในสาม
คงปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 66,666.67 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีกำหนดคนละ 6 ปี กรณีไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 30 และให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อจากโทษจำคุกในคดีหมายเลขดำที่ อ 787/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ 3505/2566 ของศาลนี้
สำหรับส่วนที่โจทก์ทั้งสองขอให้นับโทษต่อจากคดีอื่นนั้น เนื่องจากคดีอื่น ศาลพิพากษายกฟ้องและบางคดียังมิได้พิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ข้อหาและคำขออื่นจึงให้ยก” ส่วนหนึ่งของคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ 793/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ 564/2567 ของศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) ลงวันที่ 27 ก.พ.2567 ระบุ
อ่านประกอบ :
‘ศาลชั้นต้น’สั่งจำคุก 2 ปี-ปรับ 6.6 หมื่น คดีฉ้อโกงลูกบ้านคอนโดหรู‘เขาใหญ่’-ทนายฯจ่ออุทธรณ์