'วิโรจน์' จี้ 5 ข้อ กห.เร่งดำเนินการปฏิรูปกองทัพ เผยกรณีสมัครทหาร กห.ไม่ได้ทำไรต่างจากสมัย พล.อ.ประยุทธ์เลย แฉมีคนใน ทร.พยายามดีลงานสัญญาเรือฟริเกต
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2567 การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1 ครั้งที่ 32 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง เป็นพิเศษ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152
โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลได้อภิปรายถึง ปัญหาการบริการงานกองทัพด้วยกัน 5 เรื่องได้
1.การปรับลดกําลังพล
นายวิโรจ์กล่าวว่าแม้ว่าตอนนี้นะรัฐบาลจะโหมประโคมข่าวความสําเร็จของการรับสมัครทหารโดยสมัครใจแบบออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น 15,163 นาย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ 10,156 นาย ปี 2565 6,006 นาย ปี 2564 นี่อยู่ 3,002 นาย แต่มันคนละเรื่องกับการลดกําลังพลและการรับสมัครแบบออนไลน์ก็เป็นนโยบายที่ทํามาตั้งแต่ยุคพลเอกประยุทธ์เมื่อปี 2564 แล้ว
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวว่าเมื่อรวมเอาสองยอดแรกคือยอดสมัครแบบวอล์คอินมารวมกับยอดสมัครแบบออนไลน์เข้าด้วยกันจํานวนยอดสมัครรวมควรจะต้องเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่ดูแค่ยอดออนไลน์อย่างเดียว ในปี 2557 ตอนนั้นยังไม่มีออนไลน์ ยอดสมัครรวมอยู่ที่ 33,000 นาย ปี 2558 กลายเป็น 43,000 นาย ปี 2559 กลายเป็น 47,000 ปี 2560 กลายเป็น 50,000 ปี 2561 เท่ากับ 45,000 นาย
ตัดมาที่ปี 2564 เลยเริ่มมียอดสมัครออนไลน์รวมกัน สองก้อนระหว่าออนไลน์กับวอล์คอินลดลงเหลือ 28,572 รายเป็นยอดวอล์คอิน 25,000 นาย ยอดออนไลน์ 3,200 ปี 2565 เหลือเพียงแค่ 30,000 ยอดวอล์คออิน 23,000 ยอดออนไลน์ 6,600 ปี 2566 ยอดรวมอยู่ที่ 35,000 วอล์คอิน 25,000 ออนไลน์ 10,000 นาย สรุปว่ายอดสมัครรวมวอล์คอินกับออนไลน์มีแนวโน้มลดลงจากเดิมด้วยซ้ำแบบนี้ไม่มีทางที่จะนําไปสู่การยกเลิกการเปลี่ยนทหาร นี่คือการหลอกลวงตกตาประชาชนโดยเอายอดออนไลน์เท่านั้นมานําเสนอ
นายวิโรจน์กล่าวอีกว่าและหากพิจารณายอดเกณฑ์ทหารจากปี 2557 ถึง 2562 ที่อยู่ในระดับปีละประมาณ 100,000 นาย ปี 2563 -2564 ลดลงอยู่ที่ 97,00 นาย แม้ว่าปี 2565 จะลดลงมาอยู่ที่ 58,000 นาย แต่การลดลงเป็นเพราะสถานการณ์โควิดแต่พอปี 2566 ยอดทหารเกณฑ์กลับกระโดมาอยู่ที่ 93,00 ล่าสุดปี 2567 แม้ว่าจะปรับตัวลดลง แต่ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้ อยู่ที่ 83,000 นาย สรุปแล้ว 11 ปี ลดลงเฉลี่ยปีละ 1,500 นาย สำหรับยอดเกณฑ์ทหาร
"สิ่งที่รัฐบาลนี้กําลังทําอยู่นะครับไม่ได้มีอะไรใหม่แต่เป็นสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทําอยู่แล้วนั่นก็คือการบรรจุกําลังพลในอัตราประมาณ 70% ของอัตราความต้องการจริง ปี 2563 สมัยพลเอกประยุทธ์ก็บรรจุอัตรากําลังพลในอัตรา 64% และการลดอัตรากําลังพลในอัตราที่ต้วมเตี้ยมแบบนี้ ไม่ใช่การพัฒนาร่วมกันแน่ๆแต่กําลังเป็นการเล่นละครหลอกลวงตบตาประชาชนเพื่อซื้อเวลาการปฏิรูปกองทัพออกไป" สส.พรรคก้าวไกลกล่าว
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่ากระดุมเม็ดแรกของการปฏิรูปกองทัพก็คือการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานภายในกระทรวงกลาโหมควบรวม ยกเลิกหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนและประเมินภัยคุกคามและบริบทของความมั่นคงในโลกยุคใหม่ เอาภารกิจของหน่วยงานต่างๆมากางว่าต้องใช้กําลังพลในแต่ละภารกิจเท่าไหร่โดยเฉพาะกําลังพลที่เป็นทหารราบ ต้องยอมรับอย่างนี้ ว่าบริบทของโลกยุคใหม่ความต้องการในการใช้พลทหารที่เป็นทหารราบมันลดลงในทุกประเทศอยู่แล้วและที่สําคัญ ต้องเอาภารกิจที่ไม่เกี่ยวกับทางการทหารไม่ว่าจะเป็นพลทหารรับใช้ เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ เด็กเสิร์ฟ พลทหารเด็กปั๊ม พลทหารคาร์แคร์ พลทหารรับเหมาก่อสร้างออกจากระบบให้หมด
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวว่าส่วนตัวก็ได้อ่านแผนงานที่กระทรวงกลาโหมอ้างว่าจะปรับลดกำลังพลแล้ว แผนการยุบหน่วยงานแบบนี้ที่กระทรวงกลาโหมอ้างจะสามารถลดกําลังพลได้ประมาณ 700 เต็มที่ก็ 1,700 อัตรา ประหยัดงบประมาณได้ 34 ล้านบาทจากงบบุคลากรปีหนึ่ง 93,000 ล้านบาท ลดลงนิดเดียวเท่านั้น
2. เรื่องการลดการเกณฑ์ทหาร
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวต่อไปว่าหากเราใช้ข้อมูลยอดเกณฑ์ทหารในปี 2565 ในช่วงสถานการณ์โควิดมาอ้างอิง โดยเชื่อว่าจํานวนทหารเกณฑ์ที่มีความจําเป็นจริงๆน่าจะอยู่ราวๆสัก 50,000 กว่านาย เพราะช่วงนี้โควิดระบาด ความต้องการพลทหารคาร์แคร์เด็กปั๊ม เด็กเสิร์ฟก็คงจะลดลงหรือจะคิดอีกสูตรนึง คือเอาอัตรากําลังพลต่อกําลังแรงงานมาคิด ประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 1.17% ภาพรวมของโลกอยู่ที่ 0.81% ก็ก็คิดว่าจํานวนพลทหารน่าจะอยู่ราวๆสัก 60,000 กว่านาย
“ทีดีอาร์ไอก็เคยประเมินว่าในสภาวะสังคมผู้สูงวัยที่ประเทศไทยกําลังเผชิญอยู่นี้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงจากแนวโน้มเดิม 0.8% ต่อปีแล้วทีอาร์ไอเสนอด้วยว่าการลดการเกณฑ์ทหารลงครึ่งหนึ่ง หรือเหลือเพียงปีละ 50,000 นาย
เพื่อให้วัยประชากรในวัยแรงงานไปได้ประกอบอาชีพที่เขามีทักษะประกอบอาชีพที่เขามีความฝันเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและแก้ไขปัญหาได้ราวๆ 6% รัฐบาลนี้ทั้งนายสุทินและนายเศรษฐาในฐานะนายกได้ตระหนักเอาไว้บ้างหรือไม่” นายวิโรจ์กล่าว
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวว่าหากรัฐบาลเร่งปรับลดยอดพลทหารลงมาอยู่ในระดับที่จําเป็น นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้วยังทําให้รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอในการปรับปรุงสวัสดิการและทําสัญญาจ้างทหารอาชีพแบบสมัครใจในระยะยาว 4 ถึง 5 ปีได้และการที่ได้พลทหารเข้ามาแบบสมัครใจจะทําให้การฝึกทหารและการปฏิบัติภารกิจมีประสิทธิภาพ การบังคับการบังคับเกณฑ์แบบที่เป็นอยู่มีแต่จะทําให้กองทัพเผชิญปัญหาในรูปแบบต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพจิตซึ่งจากการเก็บรวบรวมข้อมูลของโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่ามีพลทหารใหม่มีภาวะซึมเศร้าทั้งๆที่ไม่ได้เป็นมาก่อนสูงถึง 19.95%
ปัญหายาเสพติด คณะกรรมาธิการการทหารเคยเชิญหน่วยงานของกองทัพบางผลัดพบว่ามีพลทหารใหม่เกี่ยวพันกับยาเสพติดถึง 30% และล่าสุด ก็เพิ่งมีพลทหารฆ่าตัวตายที่จังหวัดราชบุรีและที่ปราจีนบุรี
"ผมตั้งคําถามครับว่าจะต้องมีอีกกรณีนายสุทินคลังแสงและนายเศรษฐา ทวีสินจะตระหนักมากกว่านี้ ถ้าเรารับสมัครทหารในรูปแบบสมัครใจในจํานวนที่พอเหมาะพอสมกับภารกิจทางการทหารกองทัพก็จะสามารถคัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติตามที่กองทัพต้องการมีความเต็มใจในการปฏิบัติหน้าที่ ประชาชนจํานวนหนึ่งที่ไม่เหมาะกับภารกิจด้านการทหารเขาจะได้ไปใช้ทักษะของเขาทําอาชีพอื่นที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ล่าสุดผมลงพื้นที่ กับ สส.ญาณธิชา บัวเผื่อนไปดูยอดสมัครทหารที่อำเภอขลุง จ.จันทบุรี ยอดสมัครที่เขาต้องการคือ 60 นายมีคนมาสมัครแบบสมัครใจแค่9นายเพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะที่จังหวัดจันทบุรี อําเภอขลุง เขาต้องการแรงงานที่มีทักษะเกี่ยวกับทุเรียนแล้วรายได้วันหนึ่งเขาหลายพัน แล้วเขามีทักษะที่จําเป็นแล้วมูลค่าการส่งออกทุเรียนปีนึงมากกว่า 100,000 ล้าน เอาแรงงานที่มีทักษะไปทําอย่างอื่นดีกว่าไหม."นายวิโรจน์กกล่าว
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวต่อไปว่าใบแดงหนึ่งใบทําให้ชายไทยสูญเสียรายได้จากการทํางานเฉลี่ยแล้ว 342,422 บาทปี 2566 มี ใบแดงอยู่ 57,000 ใบทําแรงงานสูญเสียรายได้รวม 20,000 ล้านบาท หากค่าจ้างคิดเป็นประมาณ 34.5 % ของมูลค่าทางเศรษฐกิจประเมินได้เลยว่าเรามีมูลค่าการเสียหายจากการจับใบดําใบแดงปีหนึ่ง 57,000 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของดิจิตอลวอลเล็ท ดังนั้นขอถามว่าถ้าเปลี่ยนเป็นแบบสมัครแล้วมันจะไม่ดีกับประเทศตรงไหน
"ผมอยากฝากเรียนถามไปยังท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ให้สัมภาษณ์บ่อย บอกว่ามีคนด้อยค่าทหาร ด้อยศักดิ์ศรีทหารบ้าง ผมถามว่าการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจมันไม่ดีตรงไหนกัน ถ้ารัฐบาลนี้ยังคงปาหี่เรื่องการลดอัตรากําลังพลในแบบที่พลเอกประยุทธ์มาทําที่เขาทําแล้วทําอยู่ทําต่อเนี่ยโดยโหมทําการตลาดเหมือนเป็นของใหม่ ที่ยอดเกณฑ์ทหารลดลงเฉลี่ยแค่ปีละ 1,500 คนประเทศของเราต้องใช้เวลาอีกราวๆ 20 ปีครับถึงจะปลอดจากพลทหารรับใช้เผลอๆเดี๋ยวมีรัฐประหารเกิดขึ้นก่อนด้วยซ้ำ" สส.พรรคก้าวไกลกล่าว
นายวิโรจน์กล่าวอีกว่าปัญหาคนไม่อยากเกณฑ์ทหารจะทำให้เกิดปัญหาว่ามีสัสดีบางกลุ่มเอาใบ สด. 43 เก๊มาหลอกขายฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีการลือกันว่าใบหนึ่งอยู่ที่ 50,000 บาทถ้าปีหนึ่งหลอกขายประชาชนได้สัก 60,000 คน ความเสียหายปีหนึ่งก็มีมูลค่า 3,000 ล้านบาท อีกทั้งกรณีไปฝึกทหารในค่ายถ้าไม่ได้ไปฝึกจริงก็สามารถยกเงินเดือนให้กับนายพล 10,000 บาท ถ้าปีหนึ่งมีการลักลอบปล่อยพลทหารกลับบ้านสัก 20,000 นาย ปีนึงผลประโยชน์ก้อนนี้ก็ 24,00 ล้านบาท รวมสองก้อน 5,000 ล้านบาทต่อปี
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวอีกว่า การลดจํานวนนายพลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปาหี่ที่รัฐบาลนี้หลอกประชาชนไม่แตกต่างกัน ที่แถลงข่าวใหญ่โตว่าปี 2570 จะมีการลดจํานวนนายพลลงกว่า 50% อ่านข่าวดีดี ไม่ใช่ลดจํานวนนายพลลงครึ่งนึง
แต่เป็นการลดจํานวนนายพลที่เกินจําเป็นหรือเรียกว่านายพลตบยุงที่ไม่มีหน้าที่ที่ชัดเจน ซึ่งตรงนี้ขอถามว่าจํานวนนายพลที่เกินจําเป็นมันต้องเป็นศูนย์ใช่ไหมจะมีจํานวนนายพลที่เกินจําเป็นไม่เกิน 300 น้อยกว่า 300 นายเพื่ออะไร
"นายสุทินไม่ต้องทําอะไรเลยจํานวนนายพลก็จะลดลงอยู่เพราะ ผบ.ทบ. ผบ.ทร. เตรียมทหารรุ่นที่ 23 ฟังผมดีดี ผบ.ทอ. เตรียมทหารรุ่นที่ 24 ที่ผ่านมาโรงเรียนเตรียมอาหารเขารับอยู่นะครับรุ่นหนึ่งเนี่ย 350 นาย แต่พอมารุ่นที่28 อีก 5ปี โรงเรียนเตรียมทหารเขารับนักเรียนเตรียมทหารลดลงครับจากสอง 350 นายเหลือ 200 นายครับ ลดลง 150 คนต่อรุ่นนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาไปดูที่เว็บไซต์ทําเนียบรุ่นได้" สส.พรรคก้าวไกลกล่าวและกล่าวว่านั่นหมายความว่าอีก 5 ปีครับหรือปี 2572 จำนวนนายพลจะลดลงโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว อย่ามาหลอกประชาชนเอาผลการที่่โรงเรียนเตรียมทหารลดจำนวนลงมาเคลมผลงาน
3. ที่ราชพัสดุของกองทัพ
นายวิโรจย์กล่าวต่อถึงเรื่องที่ดินราชพัสดุ มีทั้งหมด 12 ล้านไร่ พบว่าถูกครอบครองในกองทัพถึง 6.25 ล้านไร่ครอบครองในกองทัพบกถึง 4.5 ล้านไร่และใน 4.5 ล้านไร่อยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีและคาบเกี่ยวไปยังราชบุรีถึง 3 ล้านไร่ กองทัพอากาศกองทัพเรือมีไว้รวมกัน 1.75 ล้านไร่ มีที่ดินรกร้างหรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มประสิทธิภาพที่ดินบางส่วนถูกนําไปใช้ทําสวัสดิการธุรกิจไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟ 60 แห่งสถาพักตากอากาศ 10 แห่งสนามมวย 1 แห่งโดยขาดความโปร่งใส
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวต่อไปว่ากรณีนี้ไม่มีการเปิดเผยว่ามีการจ่ายค่าเช่าให้กับกรมธนารักษ์หรือไม่จ่ายในอัตราเท่าไหร่ มีการทําบัญชีอย่างถูกต้องหรือไม่ ที่ผ่านมาสวัสดิการเชิงธุรกิจของกองทัพ ทุกกิจการรวมกันของทุกเหล่าทัพมีกําไรเพียงปีละ 70 หรือ 80 ล้านบาทต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อปี มีค่าใช้จ่ายอะไรเกิดขึ้นหรือ แล้วถ้าเกิดทําธุรกิจแล้วกําไรน้อยขนาดนี้จะทําธุรกิจทําไม นอกจากนี้ยังมีข้อวิพากษ์บอกว่าเอากําไรส่วนหนึ่งไปจัดสวัสดิการให้กับทหารชั้นผู้น้อยไปทําอะไร เป็นเงินเท่าไหร่มีความจําเป็นหรือไม่ตรงโจทย์อย่างที่นายทหารชั้นผู้น้อยเขาต้องการหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นตลกร้าย ที่กองทัพมีที่ดินมหาศาลแต่ว่าภาคการเกษตรกับเจอปัญหาการขาดแคลนที่ดินอยู่ ณ เวลานี้
4.การปรับลดงบประมาณกองทัพ
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวว่าเรื่องงบประมาณของแต่ละเหล่าทัพเป็นเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้ เพราะปัจจุบันสถานการณ์ความมั่นคงก็เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอํานาจก็เปลี่ยนแปลงไป แต่งบประมาณที่จัดสรรให้กับกองทัพบก ทัพเรือ และทัพอากาศที่ผ่านมา เอาแค่ 5 ปีย้อนหลังกองทัพบกได้ประมาณปีนึงประมาณ 100,000 ล้าน กองทัพเรือ กองทัพอากาศได้พอกันประมาณสัก 40,000 ล้านบาท
นายวิโรจน์กล่าวว่าอัตราส่วนงบประมาณของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ อยู่ในอัตราส่วนสองต่อหนึ่งต่อหนึ่งมาโดยตลอด สะท้อนว่า กองทัพใช้วิธีการจัดงบประมาณจากโควต้าสองหนึ่งหนึ่ง ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับภัยคุกคามและบริบทความมั่นคงในรูปแบบใหม่เลย ถ้าสัดส่วนงบประมาณยังคงเหมือนเดิมในขณะที่บริบทความมั่นคงของโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้วกองทัพยังคงปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิมแล้วประเทศจะดํารงรักษาความมั่นคงเอาไว้ได้อย่างไร งบประมาณแบบนี้จะไม่ให้ประชาชนคิดได้อย่างไรว่าเป็นการจัดโควต้างบไว้เพื่อเงินทอน
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวอีกว่าการจัดทำสมุดปกขาวของ 3 เหล่าทัพก็ควรมีการทำร่วมกันไม่ใช่ต่างคนต่างทำ เพื่อจะได้จัดงบประมาณตามสมุดปกขาวรวมของทุกเหล่าทัพจะได้ยกเลิกระบบงบประมาณแบบโควต้าสองหนึ่งหนึ่ง
ส่วนการจัดซื้ออาวุธของแต่ละเหล่าทัพที่ผ่านมาคณะกรรมการอีอีซีได้กําหนดให้อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษอยู่ในลําดับที่ 11 จาก 12 กลุ่ม อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับ 22 และอยู่ในนโยบายของกระทรวงกลาโหมด้วย ขายฝันว่าจะมีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 88 ปี แต่ในทางปฏิบัติครับไม่ได้เป็นอย่างงั้นเลย
นายวิโรจน์กล่าวว่าการจัดซื้ออาวุธเป็นจํานวนมากโดยเฉพาะของกองทัพบกยังซื้อจากบริษัทโบรกเกอร์ที่อ้างตัวเองเป็นเอสเอ็มอีแล้วใช้ช่องว่างทางกฎหมายให้ตนเองได้แต้มต่อในการประมูลจากนั้นก็ล็อบบี้ เคลียร์เงินทอนเอาอาวุธจากต่างประเทศมาขายให้กับกองทัพดื้อๆสุดท้ายพอมีปัญหาอาวุธที่ซื้อไว้ก็ต้องจอดซ่อม หลายรายการต้องรออะไหล่นานแรมปี
"ผมจึงต้องตั้งคําถามว่าทําไมไม่ซื้ออาวุธจากผู้ประกอบการภายในประเทศที่เขามีโรงงานเป็นของตัวเองเป็นหลักเป็นแหล่งมีอะไหล่สํารอง มีวิศวกรเอาไว้ซ่อมบํารุงพร้อมกับได้รับมาตรฐานสากลมีประวัติการส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก โบรกเกอร์เหล่านี้ครับที่ทําตัวเป็นตัวกลางแค่ซื้อมาขายไปเคลียร์เงินทอน พอมีปัญหาก็ปิดบริษัททิ้ง บริษัทแบบนี้ยังมีความได้เปรียบมากกว่าโรงงานผู้ผลิตในประเทศไทยอีกนะครับโบรกเกอร์ที่ซื้อรถถังมาเป็นคันซื้อเรือมาเป็นลําซื้อมาแล้วก็ขายไปเนี่ยกลับได้รับการยกเว้นภาษีนะครับ
แต่โรงงานผู้ผลิตอาวุธมีการจ้างงานภายในประเทศมีการจัดซื้อจัดจ้างวัตถุดิบภายในประเทศเนี่ยมีการพัฒนาซัพพลายเชนภายในประเทศเนี่ยพอจะนําเข้าวัตถุดิบมาผลิตนําเข้าอะไหล่มาประกอบกับต้องเสียภาษีสูงถึง 10- 30% นี่หรือครับการส่งเสริมอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ" นายวิโรจน์กล่าว
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวว่าถ้าดูที่ทีโออาร์ การจัดซื้ออาวุธเหมือนว่าจะดูสมเหตุสมผล หลายทีโออาร์เขียนว่าอาวุธที่จะเสนอขายต้องเคยใช้ประจําการในประเทศผู้ผลิตมาก่อน ตรงนี้ต้องถามว่าในเมื่อผู้ประกอบการที่เป็นคนไทย เขาผลิตขายกับยูเอ็นขายให้กับหลายประเทศแต่กองทัพไทยไม่เคยซื้อของเขาแล้วโรงงานเขาก็ตั้งอยู่ในประเทศไทย เขาจะขายให้กับกองทัพได้ยังไงแล้วทีโออาร์ก็ระบุว่าผู้ที่จะเสนอขายต้องเป็นบริษัทที่เคยผลิตมาก่อนแสดงว่า ตราบใดก็ตามที่บริษัทคนไทยไม่เคยผลิตอะไรมาก่อนก็จะไม่มีทางขายให้กับกองทัพได้ใช่ไหม
"ทําไมไม่เขียนคิวอาร์เปิดเอาไว้ว่าในกรณีที่ไม่เคยผลิตต้องมีวิศวกรที่มีประสบการณ์ในการผลิตมาควบคุมกํากับการผลิตแทนถ้าเขียนทีโออาร์ที่ระบอกว่าถ้าไม่เคยผลิตมาก่อนก็ไม่ต้องขายกองทัพจะไม่ซื้อทีโออาร์แบบนี้เป็นทีโออาร์ที่ฉุดรั้งการพัฒนาของประเทศชัดๆ" สส.พรรคก้าวไกลกล่าว
5.ซื้ออาวุธต้องส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี
นายวิโรจน์กล่าวในเรื่องสุดท้ายว่าส่วนตัวคิดว่าควรจะพอได้แล้วกับการเอาเงินภาษีของประชาชนไปแลกอาวุธมาดื้อๆแต่รัฐบาลต้องมีข้อแลกเปลี่ยนหรือการชดเชยผลประโยชน์ ที่เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนไม่ว่าจะเป็นการชําระเงินส่วนนึงเป็นสินค้าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตร่วมการวิจัยร่วมการให้ความยืดหยุ่นในการดัดแปลงอัพเดทซอฟต์แวร์ต่างๆ ซึ่งอยากให้ดูตัวอย่างที่ประเทศมาเลเซีย ซื้อเรือดำน้ำจากฝรั่งเศสก็มีข้อตกลงร่วมทุนระหว่างบริษัทในมาเลเซียและบริษัทผู้ผลิตในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและผลิตอะไหล่
เรือรบกองทัพมาเลเซีย (อ้างอิงวิดีโอจาก Asian Defence)
หรืออย่างสิงคโปร์ ซื้อเรือดําน้ำจากเยอรมนี ก็มีข้อตกลงร่วมทุนระหว่างบริษัทเยอรมนีกับบริษัทสิงคโปร์ในการพัฒนาระบบอํานวยการในสนามรบที่ออกแบบมาเพื่อกองทัพเรือสิงคโปร์โดยเฉพาะ อินโดนีเซียครับซื้อเรือดําน้ำจากเกาหลีใต้ 3 ลํา 2 ลําแรกต่อที่เกาหลีใต้ ลำที่ 3 มีการขนเอาวิศวกรไปฝึกที่ประเทศต้นทางเพื่อให้ต่อลำที่ 3 ได้ที่อินโดนีเซียโดยวิศวกรและช่างของอินโดนีเซียทั้งทั้งหมด
@แฉคนใน รบ.พยายามดีลจัดซื้อเรือฟริเกต ทร.ไม่ยอมเลยถูกตัดงบ
สส.พรรคก้าวไกลกล่าวทิ้งท้ายว่าตนมีสายข่าวในกองทัพเรือ ถึงการจัดซื้อเรือฟริเกต วงเงิน 1,700 ล้าน มีคนของรัฐบาล พยายามต่อสายจะคุยกับกองทัพเรือด้วย แต่กองทัพฯ ปฏิเสธ และยอมถูกตัดงบเหลือ 850 ล้าน แต่สุดท้ายกองทัพเรือกลับถูกตัดงบประมาณดังกล่าว แม้กองทัพเรือจะขออุทธรณ์ กรรมาธิการงบประมาณ ก็ยังตัดงบประมาณ
นายวิโรจน์ ยังระบุว่า ในอีก 2 ปี เรือฟริเกตไทยต้องจะต้องปลดระวางลงอีก 1 ลำ ทำให้เหลือเรือฟริเกตไทยเพียง 3 ลำ อาจทำให้ไม่เพียงพอ ทั้งที่มีความจำเป็น เพราะจะต้องคุ้มครองเส้นทางคมนาคมทางเรือ คุ้มกันเรือน้ำมัน และเรือสินค้า รวมถึงลาดตระเวนแท่นขุดเจาะน้ำมัน พร้อมยังย้ำว่า การจัดซื้อเรือฟริเกตลำนี้ จะเป็นการต่อเรือรบขนาดใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย และได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศ เกิดการจ้างงาน และซื้อวัสดุในประเทศมหาศาล ดังนั้น การตัดงบประมาณครั้งนี้ จึงเป็นการตัดโอกาสประเทศ และอาจจะต้องรอถึงปี 2569 กองทัพเรือ ถึงจะสามารถของบประมาณใหม่ได้
ทั้งนี้หลังจากการอภิปรายของนายวิโรจน์นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่าสิ่งที่นายวิโรจน์พูดมานั้นเป็นเรื่องเดิมๆ มีแต่น้ำ และขอย้ำว่ากองทัพมีไว้เพื่อความมั่นคงประเทศ ขอให้เวลารัฐบาล 4 ปีแล้วจะรู้ว่าใครคือคนที่ใช้วาทกรรมกันแน่
“เรื่องของเงินทอนจากการจัดหายุทโธปกรณ์ ท่านก็พูดมาหลายหน ก็ขอให้มีหลักฐานมาพูดคุยกัน อย่างเรื่องเรือฟริเกตที่ท่านเชียร์เหลือเกิน หากผมพูดกลับไปว่าท่านก็คงมีเงินทอน ท่านก็คงไม่พอใจเหมือนกัน ผมว่าเรื่องนี้เอาหลักฐานมาพูดกันดีกว่า และเรื่องของเรือฟริเกตนั้นที่สนับสนุนให้มีการต่อเรือในประเทศไทยเป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่ยังมีเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายมิติที่ต้องพูดคุยกันอยู่ เพื่อให้กองทัพได้ของที่ดีที่สุด ผมฟังการอภิปรายมา 40 นาทีแล้ว ก็ยังเห็นว่าเป็นฝ่ายค้านที่งงอยู่ เพราะก่อนหน้านี้เคยบอกว่า ให้เอาเรือประมงมาแทนเรือรบ แต่วันนี้กลับสนับสนุนให้ซื้อเรือรบอีก ก็งุนงงมาก” นายกรัฐมนตรีกล่าว
กลุ่มก้าววิสัยทัศน์โพสต์วิดีโอของนายเศรษฐา