อัยการสูงสุดมีหนังสือแจ้งผบ.ตร.ขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองอธิบดีอัยการ-อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน ทำ ‘คดีมินนี่’ หลังถูกคุกคามขณะปฏิบัติหน้าที่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2567 สำนักงานอัยการสูงสุดเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์กรณีนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 ถูกคุกคามจากการสอบสวนคดีเว็บพนันออนไลน์ (คดีมินนี่) โดยอัยการสูงสุดสั่งดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ดำเนินการให้มีมาตรการในการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่บุคคลทั้งสองและบุคคลในครอบครัว ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่
2. แจ้งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาดำเนินการให้มีมาตรการในการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยของบุคคลทั้ง 2 และไม่ให้ผู้ต้องหา ผู้ร้องเรียนทั้ง 8 ที่ยังคงรับราชการเป็นตำรวจ กระทำในเชิงคุกคามข่มขู่พนักงานอัยการที่เข้าปฏิบัติหน้าที่
3. อนุญาตให้นายกุลธนิตและนายสุริยน หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ไว้ก่อนชั่วคราว จนกว่าจะได้มีการดำเนินการตามข้อ 1 และข้อ 2 เสร็จแล้ว
4. หากเห็นว่าการคุกคามข่มขู่สิ้นสุดลงและพนักงานอัยการที่ปฏิบัติหน้าที่เห็นว่ามีความปลอดภัยแล้ว ให้เรียนอัยการสูงสุดทราบและแจ้งคณะพนักงานสอบสวนเพื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
5. แจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า การกระทำดังกล่าวมีบุคคลใดกระทำความผิดอาญาหรือไม่ หากพบการกระทำความผิดให้มีการดำเนินคดีและรายงานผลคดีให้อัยการสูงสุดทราบด้วย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีรายงานความคืบหน้ากลับมาจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่วนกรณีที่พนักงานอัยการพักการร่วมสอบสวนในคดีนั้น จะมีผลต่อความล่าช้าในการสอบสวนหรือไม่นั้น เชื่อว่ามีอาจส่งผลกระทบ เพราะทางนายกุลธนิตถือเป็นระดับอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เป็นผู้ขอความร่วมมือมาทางอัยการเอง
ด้านนายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า หากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจสอบแล้วเห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายข่มขู่คุกคาม ก็ขอให้ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายภาพพนักงานอัยการระดับสูงในการปฏิบัติงาน เป็นการสะท้อนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นว่า ฃหากกรณีนี้เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปก็จะลำยากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในคดีอาญานั้นต้องมีเจ้าทุกข์เป็นผู้แจ้งความ แต่ทางอัยการจะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2567 สำนักข่าวอิศรารายงานไปแล้วว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ขยายผลพบพยานหลักฐานและผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้ต้องหาในคดีเพิ่มเติม จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีข้าราชการตำรวจอีก 5 นาย คือ
1.พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รอง ผบ.ตร
2.พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ข้าราชการบำนาญ
3.พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม.
5.พ.ต.อ.นฤวัต พุทธวิโร ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี
6.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผบ.หมู่ สายตรวจ 3 บก.จร.บช.น.
มีรายละเอียดข่าวประชาสัมพันธ์ดังนี้
ตามที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งมอบหมายให้นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวนและนายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 เข้าให้คำแนะนำปรึกษาในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่ 468 / 2566 ของสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ คดีระหว่าง พันตำรวจโท มนต์ชัย บุญเลิศ ผู้กล่าวหา นายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ (คดีมินนี่) คดีดังกล่าว ต่อมาได้โอนให้กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 เป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวน โดยรับไว้เป็นคดีอาญาที่ 724/2566
โดยให้นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ และนายสุริยน ประภาสะวัต เข้าทำหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป การมอบหมายดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีสำคัญและเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน มีความยุ่งยาก สลับซับซ้อน มีผู้ร่วมกระทำความผิดเป็นเครือข่ายจำนวนมาก เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวนในคดีอาญาซึ่งดำเนินคดีโดยรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการมอบหมายดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 9 ข้อ 15 ข้อ 16 และข้อ 17
ต่อมา พันตำรวจเอก ภาคภูมิ พิสมัย กับพวกรวม 8 คน ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวได้ร้องเรียนการทำหน้าที่ของนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายสุริยน ประภาสะวัตอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 ต่ออัยการสูงสุด พร้อมกับแนบเอกสารภาพถ่ายที่ปรากฎภาพของนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์และนายสุริยน ประภาสะวัต ในขณะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว โดยภาพดังกล่าวมีลักษณะเป็นการติดตามและแอบถ่าย โดยผู้ถูกถ่ายภาพไม่ยินยอมและไม่รู้ตัว เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ ในเชิงการคุกคามข่มขู่
นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ และนายสุริยน ประภาสะวัต ได้ตรวจสอบข้อร้องเรียนแล้วพบว่า ตามหนังสือร้องเรียนของผู้ต้องหาทั้งแปด ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน มีหลักฐานเพียงพอเชื่อได้ว่าผู้ที่ติดตามแอบถ่ายดังกล่าว และผู้ต้องหาทั้งแปดที่ร้องเรียน ซึ่งถูกสอบสวนดำเนินคดีนี้ ปัจจุบันยังคงรับราชการเป็นตำรวจอยู่ การกระทำของผู้ต้องหาทั้งแปดมีลักษณะเป็นการข่มขู่ ติดตามชีวิตส่วนตัว และอาจไม่ปลอดภัยต่อตนเองและครอบครัว โดยสำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถหามาตรการที่รองรับความปลอดภัยของตนและครอบครัวได้ มีความประสงค์ขอพักการปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะพนักงานสอบสวนชั่วคราว จนกว่าสำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะกำหนดมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้แก่ตนได้
อัยการสูงสุดได้พิจารณาหนังสือนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ และนายสุริยน ประภาสะวัต แล้ว เห็นว่าบุคคลทั้งสองถูกคุกคามข่มขู่ สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาในการสืบสวนสอบสวนในคดีที่อัยการสูงสุดมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่จริง จึงได้สั่งการ ดังนี้
1. ดำเนินการให้มีมาตรการในการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 และบุคคลในครอบครัว ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ จนกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดภยันตรายต่อชีวิตร่างกายของตนเองและบุคคลในครอบครัวหมดไป
2. แจ้งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาดำเนินการให้มีมาตรการในการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยของบุคคลดังกล่าว และให้พิจารณาดำเนินมาตรการไม่ให้ผู้ต้องหา ผู้ร้องเรียนทั้งแปด ที่ยังคงรับราชการเป็นตำรวจ มีพฤติการณ์กระทำในเชิงคุกคามข่มขู่พนักงานอัยการที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำ ปรึกษาการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ และขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวน
3. อนุญาตให้นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวนและนายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 หยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ไว้ก่อนชั่วคราว นับตั้งแต่วันที่อัยการสูงสุดอนุญาตเป็นต้นไป จนกว่าจะได้มีการดำเนินการตามข้อ 1 และข้อ 2 เสร็จแล้ว
4. หากเห็นว่าพฤติการณ์การกระทำในเชิงคุกคามข่มขู่สิ้นสุดลงและพนักงานอัยการที่ปฏิบัติหน้าที่เห็นว่ามีความปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินแล้ว ให้กราบเรียนอัยการสูงสุดเพื่อโปรดทราบและแจ้งคณะพนักงานสอบสวนเพื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
5. แจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า จากการกระทำดังกล่าวมีบุคคลใดได้กระทำความผิดอาญา หรือไม่หากพบการกระทำความผิดให้มีการดำเนินคดีและรายงานผลคดีให้อัยการสูงสุดทราบด้วย