‘บุญชัย’ กก.บริษัทเกี่ยวพัน ‘สุภาวิดา’ คดีบ้านเอื้ออาทรแจงศาลปกครองสูงสุดสั่งคืนชื่อทะเบียนราษฎร-บัตรประชาชน อัยการไม่ฟ้องคดีอาญาข้อหาร่วมมือ จนท.-แจ้งความเท็จ ไม่ผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวหลังดีเอสไอกล่าวโทษก่อนหน้าแล้ว
สืบเนื่องจาก สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า น.ส. สุภาวิดา คงสุข หรือ กัญญ์ปภัส คงสุข หรือ คงสุขถิรทรัพย์ จำเลยที่ 14 ในคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร (ร่วมกับบริษัท พรินซิพเทค ไทย จํากัด จําเลยที่ 13 จ่ายเงินหัวคิว 50,809,000 บาท) เป็นบุคคลที่กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีกรณีใช้บัตรประจำตัวประชาชนที่ได้มาโดยมิชอบ และถูกสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ยกเลิกรายการบัตรประจำตัวประชาชน และเพิกถอนรายการบุคคลในบ้านโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รายงานให้สำนักข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตรวจสอบการจดทะเบียนนิติบุคคลของนางสุวิภาดา และ นายบุญชัย แซ่กัง มีชื่อเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนนิติบุคคลจำนวน 14 บริษัท และ สำนักข่าวอิศรานำรายชื่อนิติบุคคลที่ น.ส.สุภาวิดา คงสุข และนายบุญชัย แซ่กัง มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 14 แห่ง มารายงานแล้ว
- 14 บ.เกี่ยวพัน‘สุภาวิดา-บุญชัย’ คดีได้บัตรปชช.มิชอบ ยังเปิด 5 - เป็น กก. 1 แห่ง
- สุภาวิดา’อดีตจำเลยคดีบ้านเอื้ออาทร ยันมีสัญชาติไทย ศาล ปค.สูงสุดพิพากษาแล้ว
ล่าสุดวันที่ 13 ก.พ.2567 นายพลวัฒน์ เนตรทองสี ทนายความผู้รับมองอำนาจของนายบุญชัย แช่กัง หรือนายชยุต ปัญญากิจนุกุล ได้ส่งหนังสือชี้แจงมายังสำนักข่าวอิศราว่า กรณีนายบุญชัย ศาลปกครองสูงสุดได้มีคําพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อ.724/2561 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ให้เพิกถอนคำสั่งที่ จําหน่าย ยกเลิก เพิกถอน เอกสารทางการทะเบียนราษฎรและรายการเกี่ยวกับบัตรประจําตัวประชาชนของนายบุญชัย แช่กัง หรือนายชยุต ปัญญากิจนุกุล ผู้ฟ้องคดีนับแต่วันที่มีคำสั่ง โดยให้ดำเนินการคืนรายการบุคคลเข้าในทะเบียนบ้าน (ท.ร. 14) และรายการเกี่ยวกับบัตรประจําตัวประชาชนแก่ นายบุญชัย แซ่กัง (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนายชยุต ปัญญา กิจนุกูล) เสมือนหนึ่งไม่เคยถูกเพิกถอนมาก่อน และกรมการปกครองได้ดำเนินการปรับคืนรายการบุคคลราย นายบุญชัย แซ่กัง หรือนายชยุต ปัญญากิจนุกูล กลับเข้าในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) และรายการเกี่ยวกับบัตรประจําตัว ประชาชนไว้ตามสภาพเดิม เสมือนหนึ่งไม่เคยถูกเพิกถอนมาก่อนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจุบันกรมการปกครองได้ยกเลิกคำสั่งและออกบัตรประจำประชนชนให้เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกันในส่วนคดีอาญา สำนักงานอัยการจังหวัดกระบี่ มีคำสั่ง ที่ อส. 1037 (กบ)/1779 ลงวันที่ 9 เมษายน 2552 แจ้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ตามสํานวนการสอบสวนคดีที่ 7 (ส)/2550 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2550 โดยได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายบุญชัย แซ่กัง หรือนายชยุต ปัญญากิจนุกูล ในข้อหาร่วมกันในการเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยการเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎรและออกบัตรประจําตัวประชาชน ให้แก่บุคคลโดยมิชอบด้วยกฎหมายและระเบียบ
สำนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรี มีคำสั่งที่ อส 0042 (ธัญบุรี)/7325 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 แจ้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ตามรายงานการสอบสวนคดีที่ 2430/2549 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2554 โดยได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายบุญชัย แซ่กัง หรือนายชยุต ปัญญากิจนุกูล ในข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ เจ้าพนักงาน แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ แจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตรประจําตัวประชาชนใหม่และทำใช้หรือแสดง หลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเองมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ
สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 มีหนังสือที่ อส 0016.9/1934 ลงวันที่ 27 กันยายน 2556 แจ้ง คําสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ตามรายงานการสอบสวนคดีที่ 998/2555 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 โดยได้มีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายบุญชัย แซ่กัง หรือนายชยุต ปัญญากิจนุกูล ในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวร่วมกันประกอบธุรกิจตามบัญชีสาม (14) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีหนังสือที่ ยธ 0803/2979 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2561 แจ้งให้ผู้อํานวยการสำนักขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ให้ยกเลิก คำสั่งที่ 52/2554 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2554 ดำเนินการคืนสิทธิดังกล่าวแก่ นายบุญชัย แซ่กัง หรือนายชยุต ปัญญากิจนุกูล ตามกฎหมายและระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ข้อเท็จจริงและกระบวนการทางกฎหมายเป็นที่ยุติแล้วว่า นายบุญชัย แซ่กัง หรือนายชยุต ปัญญากิจนุกูล พ้นข้อกล่าวหาและมิได้มีการกระทำความผิดกฎหมายหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวแล้ว
อนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2565 ทนายความของ น.ส.สุภาวิดา หรือ กัญญ์ปภัส คงสุข หรือ คงสุขถิรทรัพย์ กรรมการบริษัท พรินซิพเทค ไทย จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มทุนมาเลเซีย กับ บริษัท ซิลเวอร์ อินเตอร์ กรุ๊ป จํากัด (ชื่อเดิม บริษัท ไทย เฉนหยู อินเตอร์เนชั่นแนลคอนสตรัคชั่นดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) อดีตจำเลยที่ 14 ในคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรได้ร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักข่าวอิศราว่า แม้ว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 50 ปี แต่ศาลยกฟ้องจำเลยหลายรายรวมทั้งจำเลยที่ 14 ด้วยเพราะเห็นว่า การให้เงินเพื่อแลกกับการทำสัญญาสร้างบ้านในโครงการบ้านเอื้อเป็นการถูกบังคับ
ทนายความรายดังกล่าวกล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ยังอ้างว่า ตรวจสอบพบ น.ส.สุภาวิดาใช้บัตรประจำตัวประชาชนที่ได้มาโดยมิชอบและถูกสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ยกเลิกรายการบัตรประจำตัวประชาชน และเพิกถอนรายการบุคคลในบ้าน โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินคดีและรายงานให้สำนักข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตรวจสอบการจดทะเบียนนิติบุคคลของนางสุวิภาดาด้วยซึ่งสำนักข่าวอิศรา ได้รายงานข้อมูลนี้ในข่าวของสำนักข่าวอิศราด้วย อย่างไรก็ตาม น.ส.สุภาวิดา ได้ยื่นฟ้องนายอำเภอทุ่งเขาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดและกรมการปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายผู้ฟ้องคดีออกจากทะเบียนที่อำเภอเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ดโดยอ้างว่า ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย ซึ่งศาลปกดครองสูงสุดมีคำพิพากษา(มหาเลขคดีแดงที่ อ.593/2559ให้เพิกถอนคำสั่งที่ไม่เพิ่มชื่อและรายการสัญชาติไทยของผู้ฟ้องคดีในทะเบียนบ้านและให้นายอำเภอทุ่งเขาหลวงเพิ่มชื่อผู้ฟ้องคดีภายใน 60 วันนับแต่วันที่มี่คำพิพากษา ทั้งนี้จากข้อเท็จจริงในการไต่สวนเชื่อว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยและมีสัญชาติไทย
สำหรับคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร บริษัทเอกชนจำนวน 11 ราย ได้โอนเงินค่าตอบแทน (ค่าหัวคิว) ให้แก่ นายอภิชาติ หรือ เสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร ที่ปรึกษานายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งกำกับดูแลการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เจ้าของโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเห็นว่าเป็นเงินที่มาจากการกระทําความผิด และสั่งริบ จำนวน 1,323,006,750 บาท
1 ใน 11 รายคือ บริษัท พรินซิพเทค ไทย จํากัด จําเลยที่ 13 และ น.ส.สุภาวิดา หรือ กัญญ์ปภัส คงสุข หรือ คงสุขถิรทรัพย์ จำเลยที่ 14 มีการมอบเงินให้จากการกระทําความผิดจํานวน 50,809,000 บาท และได้รับจากจําเลยที่ 14 โอน เข้าบัญชี น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว จําเลยที่ 6 (ลูกน้องนายอภิชาติ) เพิ่มอีกจํานวน 750 บาท รวมเป็นเงิน 50,809,750 บาท
อย่างไรก็ตามศาลฎีกาได้ยกฟ้องจำเลย 9 และ 11-14 ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนและกรรมการบริษัท