เผยแพร่มติ ป.ป.ช.เอกฉันท์ ตีตกข้อกล่าวหา พ.ต.อ.สมบัติ สมบูรณ์สุขหรือพลพิพัฒน์ สมบูรณ์สูข อดีตผกก.สภ.ท่าเรือ อยุธยา -พวก 13 ราย ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาให้รับสารภาพคดีปล้นรถบรรทุกน้ำมัน หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงพยานหลักฐานฟังว่าได้ร่วมกระทำความผิด ไม่มีมูล
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตีตกข้อกล่าวหา พันตำรวจเอก สมบัติ สมบูรณ์สุขหรือพลพิพัฒน์ สมบูรณ์สูข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับพวก 13 ราย คือ พันตำรวจโท จำรัสพงษ์ หรือจรัสพงษ์ บุญประกอบ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการปราบปราม สถานีตำรวจภูธรท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา , พันตำรวจโท สมศักดิ์ชัย อมรส่งเจริญ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 , พันตำรวจโท สมศักดิ์ ศรีรุ่งนภาพร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสารวัตร งาน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 , ร้อยตำรวจเอก ธวัชชัย เริงกมล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองสารวัตร สืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา , ดาบตำรวจ เอกพล เงินแจ้ง , ดาบตำรวจ ชาตรี อยู่เนียม , ดาบตำรวจ สกล พฤทธิสาริกร, จ่าสิบตำรวจ ทองเหมาะ วงษ์ขวัญเมือง , จ่าสิบตำรวจ บรรเจิด จอมพิทักษ์พงศ์, สิบตำรวจเอก พนมหรือนพสิทธิ์ ชูจิต, สิบตำรวจโท สมเกียรติ ฤทธิ์เดช, สิบตำรวจโท สุพิศักดิ์ รินทร์คำ และ สิบตำรวจตรี สุพัฒน์ กาญจนสิทธิ์
กรณีเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด โดยร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้กล่าวหา และนายสมเจตน์ ชุ่มเกตุ เป็นเหตุได้รับบาดเจ็บ เพื่อให้รับสารภาพว่าร่วมกันปล้นรถบรรทุกน้ำมัน
หลังพิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเบื้องต้นไม่ปรากฏ ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังว่าได้ร่วมกระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
สำนักงาน ป.ป.ช. ระบุว่า พฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิดโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2548 เวลาประมาณ 03.00 น. ขณะที่ผู้กล่าวหาได้พักอาศัยอยู่ที่ไร่ริมถนนมิตรภาพ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับ นายสมเจตน์ ชุ่มเกตุ หลานชาย ได้มีบุคคลจำนวนหนึ่งได้เรียกผู้กล่าวหา ไปพบ และบุคคลกลุ่มดังกล่าวได้ใช้ผ้าคลุมศีรษะและใส่กุญแจมือไพล่หลังนำขึ้นรถไปโดยนำตัวนายสมเจตน์ ชุ่มเกตุ ขึ้นรถอีกคันหนึ่งไป
เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งบุคคลกลุ่มดังกล่าวจึงเอาผ้าคลุมศีรษะออก ผู้กล่าวหา จึงทราบว่าสถานที่ดังกล่าวคือสถานีตำรวจภูธรท่าเรือ แล้วได้นำตัวไปยังห้อง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรท่าเรือ ซึ่งอยู่บริเวณชั้น 3 ของโรงพัก ซึ่งพันตำรวจเอก สมบัติ สมบูรณ์สุข ได้นั่งอยู่ในห้องดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว และได้นำเก้าอี้มาตีบริเวณหลังของนายผู้กล่าวหา จำนวน 2 ครั้ง และบอกให้บุคคลกลุ่มดังกล่าวให้คลุมผ้าที่ศีรษะของผู้กล่าวหา ตามเดิมและได้สั่งให้บุคคลกลุ่มดังกล่าวใช้เทปกาวพันข้อเท้าติดกันและใช้กรรไกรตัดเสื้อ กางเกง จนขาดออกจากตัว
ต่อมาบุคคลกลุ่มดังกล่าวได้พาไปยังอีกห้องหนึ่ง และจึงให้ผู้กล่าวหา นอนหงาย หลังจากนั้นได้มีคนถามว่าไปปล้นรถน้ำมันมีใครบ้าง ซึ่งผู้กล่าวหา ก็ได้ปฏิเสธบุคคลกลุ่มดังกล่าวจึงได้ใช้น้ำราดบริเวณท้องและอวัยวะเพศแล้วใช้ไฟฟ้าช็อต ในระหว่างนั้น ก็ไปสอบถามว่าคนที่ปล้นรถน้ำมันที่เหลือเป็นใคร เมื่อผู้กล่าวหา ปฏิเสธก็จะถูกช็อตอีกจนสลบไป
จนกระทั่งวันต่อมาผู้กล่าวหา ได้ถูกนำตัวไปทำการสอบสวน โดยผู้กล่าวหา ได้ปฏิเสธ และไม่ลงลายมือชื่อในคำให้การ
หลังจากนั้นในวันต่อมาได้มีการนำผู้กล่าวหา และนายสมเจตน์ ชุ่มเกตุ ไปขอฝากขังต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอนำตัวผู้กล่าวหา กลับไปเพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติม
แต่ผู้กล่าวหา ได้คัดค้านโดยแถลงต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่าในระหว่างถูกควบคุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถูกทำร้ายร่างกายและขอให้ส่งตัวไปยังเรือนจำเพื่อตรวจร่างกาย
จากการตรวจร่างกายพบว่ามีร่องรอยบาดเจ็บจริง กล่าวคือมีรอยไหม้ดำเกรียมบริเวณอวัยวะเพศและมีบาดแผลตามร่างกายอีกหลายแห่ง ตามใบความเห็นแพทย์สถานพยาบาลเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลังจากนั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาลงโทษผู้กล่าวหาจำคุก 28 ปี
ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลย
โดยให้เหตุผลว่าศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์แตกต่างขัดแย้งกันและขัดต่อเหตุผลหลายประการในข้อสำคัญแห่งคดี ทำให้น่าเคลือบแคลงสงสัยในข้อพิรุธต่างๆ ดังกล่าว ประกอบกับจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด และอ้างว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมมาโดยมิชอบและถูกทำร้ายบังคับให้รับสารภาพ จนกระทั่งมีบาดแผลรอยไหม้ที่อวัยวะเพศซึ่งลักษณะบาดแผลดังกล่าวผิดปกติธรรมดา ทั้งจำเลยที่ 1 ยังมีสาเหตุโกรธเคืองอยู่กับเจ้าพนักงานตำรวจบางคนด้วย กรณีมีเหตุสงสัยตามสมควรว่ามีเหตุปล้นทรัพย์เกิดขึ้นจริงหรือไม่ และจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ลงโทษจำเลยที่ 1 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ดังนั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า กรณีดังกล่าวผู้กล่าวหา ได้กล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 14 รายได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้กล่าวหา บริเวณชั้นบนของสถานีตำรวจภูธร ท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้รับสารภาพว่าเป็นผู้ปล้นรถยนต์บรรทุกน้ำมัน โดยการใช้เก้าอี้ฟาดและใช้ไฟฟ้าช็อตบริเวณอวัยวะเพศจนหมดสติ
โดยเฉพาะในรายของพันตำรวจเอก สมบัติ สมบูรณ์สุข นั้น จำได้อย่างแม่นยำว่าเป็นผู้ที่ใช้เก้าอี้ฟาดตนเอง เนื่องจากรู้จักพันตำรวจเอก สมบัติ สมบูรณ์สุข และจำหน้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งคำกล่าวอ้างดังกล่าวนั้นได้ขัดกับที่ผู้กล่าวหาได้ให้ถ้อยคำกับคณะอนุกรรมการไต่สวน
คณะอนุกรรมการไต่สวนได้ให้ผู้กล่าวหา ตรวจดูภาพถ่ายจำวน 14 ภาพ และ ผู้กล่าวหาได้ชี้ไปยังภาพหมายเลข 1 นายสมบัติ สมบูรณ์สุข และระบุว่าบุคคลดังกล่าวคือพันตำรวจเอก สมบัติ สมบูรณ์สุข ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้เก้าอี้ฟาดตนเอง
แต่แท้จริงแล้วภาพดังกล่าวนั้นมิใช่ภาพของพันตำรวจเอกเอก สมบัติ สมบูรณ์สุข ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 แต่อย่างใด
กรณีดังกล่าวจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าผู้กล่าวหาได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปรากฏรายชื่อตามที่ผู้กล่าวหา กล่าวอ้างข้างต้นทำร้ายร่างกายจริงหรือไม่
อีกทั้งยังมีพยานบุคคลยืนยันประกอบด้วยดาบตำรวจ กฤษณะ ทองแก้ว ซึ่งให้ถ้อยคำยืนยันว่าในขณะที่ดำเนินการเขียนบันทึกประจำวันนั้น ไม่ปรากฏว่าผู้กล่าวหา และนายสมเจตน์ ชุ่มเกตุ มีร่องรอยหรืออาการบาดเจ็บ แต่อย่างใด
พันตำรวจโท วิชิต ปานพรม พนักงานสอบสวน ได้ยืนยันว่าในขณะทำการสอบสวนไม่ปรากฏว่าผู้กล่าวหา และนายสมเจตน์ ชุ่มเกตุ มีร่องรอยหรืออาการบาดเจ็บ และบุคคลทั้งสองก็มิได้แจ้งว่าตนถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด
ร้อยตำรวจเอก มณฑล บุญอยู่ ให้ถ้อยคำว่าในขณะตรวจร่างกายก่อนที่จะนำเข้าห้องคุมขังตามระเบียบนั้น ไม่ปรากฏว่าผู้กล่าวหา และนายสมเจตน์ ชุ่มเกตุ มีร่องรอยหรืออาการบาดเจ็บ แต่อย่างใด และนายสัญญา ขันธนิยม ได้ให้ถ้อยคำว่าขณะที่ตนปฏิบัติหน้าที่พยาบาลวิชาชีพประจำสถานพยาบาลเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหน้าที่ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับในวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 นั้น ไม่ปรากฏว่าผู้กล่าวหา และนายสมเจตน์ ชุ่มเกตุ มีร่องรอยหรืออาการบาดเจ็บ แต่อย่างใด
ต่อมานายผู้กล่าวหา ได้มาให้นายอุเทน จารณศรี แพทย์ห้วงเวลา ทำการตรวจร่างกาย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2548 จึงได้ปรากฏว่ามีอาการบาดเจ็บมีลักษณะอาการ มีรอยผิวหนังดำเกรียมด้านบนอวัยวะเพศ พื้นที่ 1 ใน 3 ที่ลูกอัณฑะมีลักษณะดำเกรียมมีพื้นที่ 1 ใน 5 ของลูกอัณฑะ ที่ข้อมือทั้งสองข้างมีแผลถลอก และมีรอยแผลแห้งตกสะเก็ด ซึ่งเป็นภายหลังจากที่ผู้กล่าวหา เข้าไปอยู่ในเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่งวัน
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นจึงยังไม่สามารถรับฟังได้ว่าอาการบาดเจ็บดังกล่าวของผู้กล่าวหา เกิดจากการทำร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวข้างต้นแต่อย่างใด
อีกทั้งผู้กล่าวหา นั้นมีประวัติอาชญากรรมโดยถูกดำเนินคดีหลายครั้ง และปัจจุบันก็ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จึงเห็นว่าถ้อยคำของผู้กล่าวหานั้นไม่น่าเชื่อถือ กรณีดังกล่าวยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 14 ราย ได้ทำร้ายร่างกายผู้กล่าวหา และนายสมเจตน์ ชุ่มเกตุ เพื่อให้รับสารภาพว่าเป็นผู้ปล้นรถยนต์บรรทุกน้ำมันแต่อย่างใด เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 7 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงไม่ปรากฏ ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังว่า พันตำรวจเอก สมบัติ สมบูรณ์สุขหรือพลพิพัฒน์ สมบูรณ์สูข ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 พันตำรวจโท จำรัสพงษ์ หรือจรัสพงษ์ บุญประกอบ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 พันตำรวจโท สมศักดิ์ชัย อมรส่งเจริญ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 พันตำรวจโท สมศักดิ์ ศรีรุ่งนภาพร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ร้อยตำรวจเอก ธวัชชัย เริงกมล ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 ดาบตำรวจ เอกพล เงินแจ้ง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 ดาบตำรวจ ชาตรี อยู่เนียม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 ดาบตำรวจ สกล พฤทธิสาริกร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 จ่าสิบตำรวจ ทองเหมาะ วงษ์ขวัญเมือง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 9 จ่าสิบตำรวจ บรรเจิด จอมพิทักษ์พงศ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 10 สิบตำรวจเอก พนมหรือนพสิทธิ์ ชูจิต ผู้ถูกกล่าวหาที่ 11 สิบตำรวจโท สมเกียรติ ฤทธิ์เดช ผู้ถูกกล่าวหาที่ 12 สิบตำรวจโท สุพิศักดิ์ รินทร์คำ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 13 สิบตำรวจตรี สุพัฒน์ กาญจนสิทธิ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 14 ได้ร่วมกระทำความผิดตามที่กล่าวหา
ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป