สำนักงาน ป.ป.ช.หนองเคย เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา 'ธนกฤต มณีรัตน์' อดีตนายกเทศฯหนองปลาปาก จังหวัดหนองคาย-พวก ข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมร่วมดำเนินการเสนอราคา ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษ จำคุก 18 ปี พร้อมพวก 1 ราย ส่วนที่เหลือ 4 ราย โดนคนละ 12 ปี แต่ได้ลดโทษ 1 ราย เหลือ 6 ปี อสส.ไม่ฎีกาต่อ คดีถึงที่สุดแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ประจำจังหวัดหนองคาย ได้เผยแพร่ผลคดีกล่าวหา นายธนกฤต มณีรัตน์ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลหนองปลาปาก อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย กับพวกรวม 6 ราย ในฐานความผิด ข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมร่วมดำเนินการใดๆ ในการเสนอราคา หรือไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา หรือถอนการเสนอราคา หรือต้องทำการเสนอราคาตามที่กำหนด โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญด้วยประการใดๆ ให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือบุคคลที่ 3 จนผู้ถูกข่มขืนใจยอม
ล่าสุด ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุก นายธนกฤต มณีรัตน์ จำเลยที่ 1 และพวก 1 ราย จำเลยที่ 2 คนละ 9 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 18 ปี ส่วนพวกที่เหลืออีก 4 ราย โดยคนละ 6 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 12 ปี แต่มี 1 ราย รับสารภาพได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 ปี
สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดหนองคาย ระบุรายละเอียดว่า ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ส่งรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหา นายธนกฤต มณีรัตน์ ผู้ถกกล่าวหาที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อขอให้ดำเนินการฟ้องนายธนกฤต มณีรัตน์ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลหนองปลาปาก ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนายประวัติ ศรีระษา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ในฐานความผิด ข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมร่วมดำเนินการใดๆ ในการเสนอราคา หรือไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา หรือถอนการเสนอราคา หรือต้องทำการเสนอราคาตามที่กำหนด โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญด้วยประการใดๆ ให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือบุคคลที่ 3 จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น และฐานเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมิใช่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 6 และมาตรา 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
นายประเสริฐ ศิริ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 นายลือชัย ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 นายเสถียร มีบุญ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 และนายชัยพร ภูมิยัง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 ฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมร่วมดำเนินการใดๆ ในการเสนอราคา หรือไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา หรือถอนการเสนอราคา หรือต้องทำการเสนอราคาตามที่กำหนด โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญด้วยประการใดๆให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น และฐานสนับสนุนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมิใช่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมาตรา 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 มีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 6, 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 6, 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86 การกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมิใช่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ และลงโทษจำเลยที่ 2 - 6 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีอัตราโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90
จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 9 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 คนละ 6 ปี
จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3 ปี
แต่ที่โจทก์ขอให้ปรับจำเลยทั้งหก ร้อยละ 50 ของเงินจำนวน1,800,000 บาท ที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยนั้น เห็นว่า ศาลไม่ได้ลงโทษจำเลยทั้งหก ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐพ.ศ. 2542 มาตรา 6 จึงไม่อาจนำโทษปรับตามบทบัญญัติในมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับแก่จำเลยทั้งหกได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้
ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 6 ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลย ที่1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 6, 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 6, 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86
การกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ รวม 2 กรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวิลกฎหมายอาญา มาตรา 91 โดยแต่ละกรรมเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ร่วมข่มขืนในผู้อื่นให้จำยอมไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา โดยข่มขืนด้วยประการใดๆ และลงโทษ จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ร่วมข่มขืนใจให้ผู้อื่นจำยอมไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีอัตราโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 9 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 18 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 คนละ 6 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 12 ปี
จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลงโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเห็นชอบตามความเห็นของอัยการสูงสุด (อสส.) ที่จะไม่ฎีกาคำพิพากษา คดีถึงที่สุดแล้ว