ดีเอสไอ-ทร.-ป่าไม้ ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคารสร้างถาวร บุกรุกป่าสงวนบางขนุน พบไม้แปรรูปซุกซ้อนอยู่ข้างทาง คาดทำเป็นขบวนการ มีนายทุนอยู่เบื้องหลัง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2566 หน่วยปฎิบัติการ ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง591 (นป.สอ.รฝ.591) รายงานต่อ พลเรือโทสุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังจากหน่วยปฎิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง 591 นายทหารพระธรรมนูญกองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 (ธน.บก.ทรภ.3) เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า ที่ ภก 1 ถลาง และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม นำโดย พันตำรวจตรีนิมิตร พรหมมา รองผู้อำนวยการกองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 49/2564 ลงพื้นที่ ตรวจสอบอาคารสร้างถาวร บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าบางขนุน ในบริเวณ ซอยบางม่าเหลา 11 ม. 7 ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ปรากฏว่าพบไม้แปรรูปซุกซ้อนอยู่ข้างทาง
คณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตรวจค้นพิสูจน์ทราบพื้นที่พบว่า มีขบวนการตัดไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นไม้ป่าดิบชื้น ไม้ห่วงห้าม จำนวน 6 ต้น จากลักษณะการแปรรูปน่าจะมีผู้ร่วมกระทำความผิดหลายรายและน่าเชื่อว่า เป็นการกระทำการเป็นขบวนการการทำลายต้นไม้และอาจจะมีนายทุนอยู่เบื้องหลังจากตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าบางขนุนซึ่งกรมป่าไม้ได้อนุญาตให้กองทัพเรือใช้ประโยชน์เพื่อความมั่นคงของพื้นที่ เพื่อปกป้องคุ้มครองสนามบินนานาชาติภูเก็ต เพื่อเพื่อปกป้องคุ้มครองจังหวัดภูเก็ตแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก และเขตเศรฐกิจพิเศษในน่านน้ำอันดามัน
ร้อยตำรวจเอกปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าบางขนุน ไว้เป็นคดีพิเศษ เต็มพื้นที่ ซึ่งหน้าที่พนักงานสอบสวนจะต้องพิสูจน์ความผิดของผู้บุกรุกพื้นที่ และเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่จะต้องทำความจริงให้ปรากฏว่ามีใคร ผู้ใด กระทำความผิดบุกรุกพื้นที่ทำลายทรัพยากรของประเทศบ้าง ป่าบางขนูนเป็นพื้นที่ความมั่นคง ที่เป็นของคนไทยทุกคน มิอาจที่จะยกให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของได้ การพบการกระทำความผิดในการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ เป็นการละเมิดสิทธิสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สร้างความเสียหายต่อทรัพยากรต้นน้ำที่สำคัญอันจะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนบนเกาะภูเก็ต ถือเป็นกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย จึงจะต้องสืบสวนสอบสวนเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฏหมายต่อไป
ข่าวประกอบ: