สื่อนอกไม่เชื่อไทยออกมาตรการคุมอาวุธปืนสำเร็จ หลังเหตุกราดยิงที่พารากอน ชี้โครงการสวัสดิการเป็นต้นตอปัญหาทำอาวุธปืนหลุดตลาดมืด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวความเห็นจากสื่อต่างประเทศกรณีเยาวชนกราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 5 ราย
ทางสำนักข่าวเอเอฟพีได้รายงานข่าวตอนหนึ่งว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าว นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ให้คำมั่นว่าจะมีมาตรการควบคุมปืนที่เข้มข้นมากขึ้น ขณะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่าจะต้องมีการเพิ่มมาตรการตรวจสอบสภาพจิต
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเคยมีคำมั่นสัญญาในลักษณะนี้มาแล้ว แต่ก็ได้ประสิทธิผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และผู้เชี่ยวชาญต่างก็สงสัยว่าจะมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพใช้งานได้จริงหรือ
โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ GunPolicy.org ระบุว่าประเทศไทยหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการครอบครองปืนสูงสุดในภูมิภาค โดยมีปืนกว่าสิบล้านกระบอกหรือคิดเป็นจำนวนเฉลี่ยก็คือประชาชนหนึ่งคนในทุกเจ็ดคนจะมีอาวุธปืน
ผลลัพธ์ก็คือสิ่งที่น่าโหดร้าย เพราะในปี 2562 ประเทศไทยมีเหตุเสียชีวิตจากอาวุธปืนถึง 1,300 ราย ตามข้อมูลล่าสุดที่ปรากฏ ขณะที่เวียดนามมีอัตราเสียชีวิตแค่ 130 รายเท่านั้น ทั้งๆที่เวียดนามมีประชากรมากกว่าไทย 40 เปอร์เซ็นต์
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการควบคุมการนำเข้าอาวุธอย่างเคร่งครัด โดยผู้ค้าจะถูกจำกัดให้มีโควต้าอาวุธปืนรายปีได้เป็นจำนวนน้อย และถูกกำหนดให้มีราคาสูง ผู้ซื้ออาวุธในประเทศไทยจะต้องมีอายุมากกว่า 20 ปี ถูกตรวจสอบภูมิหลัง และจะต้องให้เหตุผลการครอบครองอาวุธปืนที่เหมาะสม เช่นเพื่อการป้องกันตัวหรือเพื่อล่าสัตว์
อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยมีโครงการปืนสวัสดิการ ส่งผลทำให้อาวุธปืนจำนวนหลายแสนกระบอกหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่ปืนมาจากสหรัฐอเมริกา
นายไมเคิล พิการ์ด นักวิจัยอิสระเรื่องการแพร่กระจายของอาวุธปืนและการทุจริตให้สัมภาษณ์ว่า “ปัญหาที่แท้จริงคือโครงการปืนสวัสดิการ” โดยโครงการนี้บุคลากรของรัฐจะได้รับส่วนลดสําหรับปืนส่วนบุคคลและซื้อโดยตรงผ่านหน่วยงานของพวกเขาแทนที่จะผ่านกระบวนการออกใบอนุญาตให้กับพลเรือน
“สิ่งนี้นําไปสู่สถานะซึ่งเป็นอันตราย เพราะตํารวจบางคนขายปืนลดราคาของพวกเขาในตลาดมืดเพื่อหวังผลกําไร” นายพิคาร์ดกล่าว
โดยหลังจากเหตุกราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จ.หนองบัวลำภู เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกประกาศระงับโครงการไม่มีกำหนดและให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าเจ้าหน้าที่นอกแถวกำลังขายต่ออาวุธปืนของตัวเอง
อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวจากในแวดวงตำรวจให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่าโครงการปืนสวัสดิการนี้ยังอยู่ดี
“ตํารวจระดับต้นและระดับล่างไม่สามารถซื้อปืนได้” แหล่งข่าวกล่าวและกล่าวต่อไปว่าการซื้อปืนโดยส่วนบุคคลจะมีราคาอยู่ที่กระบอกละ 1 แสนบาท ขณะที่ปืนซึ่งซื้อผ่านโครงการสวัสดิการจะมีราคาอยู่ที่ 30,000-40,000 บาท
และเจ้าหน้าที่หลายคนก็เลือกจะใช้อาวุธของตัวเองแทนเป็นส่วนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงจากกรณีเสียค่าปรับหากปืนในราชการเสียหายหรือสูญหาย
“ตํารวจที่ต้องการปืนสามารถนําเงินสดหรือเงินยืมจากสหกรณ์ตํารวจมาเพื่อซื้อปืนได้” แหล่งข่าวกล่าว
เรียบเรียงจาก:https://www.rfi.fr/en/international-news/20231004-deadly-thai-mall-shooting-reignites-gun-control-questions