หลังรับเป็นคดีพิเศษ! 'ดีเอสไอ' ลงพื้นที่ลุยสางขบวนการ ส.ค.1 บิน คดีทุ่งสงวนเลี้ยงสัตว์รุกที่อุทยานสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต 15 ไร่ ใช้โดรนบินตรวจสภาพ-จัดทำแผนที่เกิดเหตุ พร้อมสอบปากคำเจ้าหน้าที่อุทยานฯ รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องไว้ประกอบการสอบสวนแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้าการสอบสวนกรณีเรื่องร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ที่ดินสาธารณะประโยชน์แห่งหนึ่ง ว่า ที่ดินบริเวณ พิกัด 8 องศา 05 ลิปดา 47.359 ฟิลิปดาเหนือ 98 องศา 18 ลิปดา 09.017 ฟิลิปดาตะวันออก อยู่ในท้องที่ ม.1 ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตประมาณ 500 เมตร ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ และอยู่ในที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งสงวนเลี้ยงสัตว์แหลมพิศ ถูกบุคคลกลุ่มหนึ่งเข้าไปปรับสภาพพื้นที่เป็นพื้นราบมีการปลูกต้นมะพร้าวความสูงประมาณ 1 เมตร คาดว่าปลูกมาประมาณ 1 ปี พื้นที่โดยรอบมีการล้อมรั้วด้วยกำแพงคอนกรีต ต่อมาที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ครั้งที 1/2566 วันที่ 15 ก.พ.2566 มีมติให้รับเรื่องกรณีเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ร้อยตำรวจเอก ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจโท อมร หงษ์ศรีทอง ผู้อำนวยการกองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ เจ้าหน้าที่อำเภอถลาง และผู้ปกครองท้องที่ เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุภายในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
โดยได้ใช้เครื่องมืออากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ขึ้นบินตรวจสอบสภาพพื้นที่และจัดทำแผนที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ได้ทำการสอบปากคำเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ และรวบรวมพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ประกอบการสอบสวน
เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีหนังสือมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้ดำเนินการตรวจสอบ กรณี คณะเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ตรวจพบมีการบุกรุกแผ้วถางและเข้าไปยึดถือครอบครองพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถท้องที่หมู่ที่ 1 ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จำนวนเนื้อที่ประมาณ 15-3-71 ไร่ โดยผู้ที่เข้าไปยึดถือครอบครองได้กล่าวอ้างต่อคณะเจ้าหน้าที่ว่า ที่ดินดังกล่าวมีเอกสารแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 283 หมู่ที่ 1 ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต คณะเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าที่ดินที่เกิดเหตุทับซ้อน อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ และอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ จึงเชื่อได้ว่าเอกสารแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ที่นำมากล่าวอ้าง ไม่ตรงกับตำแหน่งแปลงที่ดินที่เกิดเหตุ
ต่อมา กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ทำการสืบสวน และเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ โดยพื้นที่เกิดเหตุอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และที่สาธารณประโยชน์ เป็นพื้นที่ทรัพยากรที่มีค่าของแผ่นดิน อีกทั้งอยู่ใกล้กับสนามบินนานาชาติภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญมีมูลค่าที่ดินสูงและเป็นแหล่งเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นเรื่องที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน กระทบต่อระบบเศรษฐกิจที่สำคัญ จึงได้นำเรื่องเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ พิจารณาให้รับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งต่อมาคณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 1/2566 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ให้รับกรณีดังกล่าวไว้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
สำหรับคดีนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มอบหมายให้กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่อง
ขณะที่ สำนักข่าวอิศรา เคยนำเสนอข่าวกรณีนี้ไปแล้วว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 คณะเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่บริเวณนี้พบว่า มีการแผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ มีการใช้รถแบ็คโฮเข้าปรับพื้นที่ และมีการกั้นรั้วลวดหนามรอบพื้นที่บริเวณใกล้กับที่ทำการอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ท้องที่หมู่ที่ 1 ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ขณะตรวจสอบพบกลุ่มบุคคล จำนวน 3 คน กำลังติดตั้งล้อมรอบในบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ พื้นที่ที่ถูกแผ้วถางดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ และอยู่ในที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งสงวนเลี้ยงสัตว์แหลมพิศ คำนวณพื้นที่ ได้เนื้อที่จำนวนเนื้อที่ 15 ไร่ 3 ไร่ งาน 71 ตารางวา มูลค่าราคาไร่ละ 50 ล้านบาท เกือบ 800 ล้านบาท
จากการสอบถามกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งว่าที่ดินดังกล่าวมีเอกสารที่ดินเป็น ส.ค. 1 เลขที่ 283 หมู่ที่ 1 ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยผู้แจ้งการครอบครองและทายาทได้เข้าไปครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา แต่คณะเจ้าหน้าที่พิจาณาแล้วเห็นว่าที่ดินที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยทำการทำประโยชน์มาก่อน เดิมมีสภาพเป็นป่ามีพันธุ์ไม้ขึ้นกระจายอยู่เต็มพื้นที่ และจากการตรวจสอบรายละเอียดเอกสาร ส.ค.1 เลขที่ 283 ระบุว่าสร้างประโยชน์ในที่ดินเป็นสวนมะพร้าว แต่ปรากฏว่าไม่มีต้นมะพร้าวอยู่ และตรวจไม่พบพืชผลอาสินใดๆ