'เนตร นาคสุข' อดีตรอง อสส. ร้องขอความเป็นธรรม 'อิศรา' รอบ2 ยื่นเรื่องฟ้องศาลรธน. ขอให้วินิจฉัยความเห็นคกก.ชุด 'วิชา มหาคุณ'- ข้อกล่าวหา ป.ป.ช. ปมไม่สั่งฟ้อง 'บอส อยู่วิทยา' ชี้ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ ละเมิดสิทธิเสรีภาพขัดหลักนิติธรรม เจตนากลั่นแกล้งแจ้งข้อกล่าวหาซ้ำหวังให้รับโทษคดีอาญา โดนวินัยร้ายแรง ทั้งที่ปฏิบัติหน้าที่ใช้ดุลยพินิจโดยสุจริตแล้ว
สืบเนื่องในช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2565 นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด (อสส.) ได้มาร้องขอความเป็นธรรมให้สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข่าวกรณีที่นายเนตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อัยการสูงสุด (อสส.) ต่อศาลปกครองสูงสุด กรณีถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงให้ออกจากราชการ ในการกลับคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ในคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555
- 'เนตร' ขอความเป็นธรรม ยื่นฟ้อง 'ปธ.ก.อ.-อสส.' เพิกถอนคำสั่งให้ออกราชการ คดี 'บอส'
- เนตร นาคสุข : เซ็นสั่งไม่ฟ้องคดี 'บอส' ถ้าย้อนเวลาได้ ผมก็จะทำแบบเดิม
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 นายเนตร ได้ติดต่อมายังสำนักข่าวอิศราอีกครั้ง เพื่อขอความเป็นธรรมให้นำเสนอข่าวการยื่นฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยว่าการกระทำของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และการกระทำคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน คดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 225/2563 ซึ่งมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานคณะกรรมการฯ นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้และการกระทำนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ
โดย นายเนตร ได้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 6 ประการ ได้แก่
1.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การพิจารณาสั่งคดีของนายเนตร นาคสุข ผู้ร้อง ในคดีจราจรที่ 632/2555 ของสถานีตํารวจนครบาลทองหล่อที่ผู้ร้องมี ความเห็นและคําสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 เป็น ความเห็นคําสั่งและการพิจารณาสั่งคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการพิจารณาวินิจฉัย สั่งคดีของผู้ร้อง เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย โดยสุจริต เที่ยงธรรมและได้แสดง เหตุผลอันสมควรประกอบแล้ว
2.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเห็นของคณะกรรมการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ ที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานกรรมการ ตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีที่ 225/2563 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับนายเนตร นาคสุข ผู้ร้อง ตามรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อ กฎหมายของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีมีคําสั่งไม่ฟ้อง คดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชนลงวันที่ – เดือนสิงหาคม พ.ศ.2563
เป็นการกระทําที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯกระทําการโดยละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง ไว้และขัดหลักนิติธรรม และการกระทํานั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 25,26,213,248 เพราะคณะกรรมการฯไม่มีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะตรวจสอบดุลพินิจฯหรืออํานาจหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ร้องได้ และคณะกรรมการฯจงใจกลั่นแกล้งโดยมีความเห็นอันเป็นเท็จในรายงานผลการตรวจสอบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ร้อง
3.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทําของคณะกรรมการป.ป.ช. องค์คณะไต่ส่วนที่ได้ไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหานายเนตร นาคสุข ผู้ร้อง ว่า มีมูลเป็น ความผิดทางวินัยร้ายแรงดําเนินคดีวินัยผู้ร้องซ้ำอีกตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาลงวันที่ 28กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ข้อ 6,7 ตามเอกสารประกอบคําร้องอันดับที่ 10) ทั้งที่ผู้ร้องถูก ลงโทษทางวินัยเสร็จเด็ดขาดและถึงที่สุดไปแล้ว เป็นการกระทําที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองและการกระทํานั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา25,213 เพราะหลักกฎหมายทั่วไปได้ห้ามไม่ให้ลงโทษบุคคลใดมากกว่าหนึ่งครั้งสําหรับ ความผิดที่บุคคลนั้นได้กระทําเพียงครั้งเดียวตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
4.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทําของคณะกรรมการ ป.ป.ช. องค์คณะไต่ส่วนที่ได้ไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหานายเนตร นาคสุข ผู้ร้อง ว่า มีมูลเป็น ความผิดทางอาญาตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566 ข้อ 6,7 เป็นการกระทําที่คณะกรรมการปปช.องค์คณะ ไต่สวนกระทําการโดยละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ และขัดหลัก นิติธรรม และการกระทํานั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 25,26,213,248 เพราะผู้ร้องมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและพิจารณาสั่งคดีโดยสุจริตเที่ยงธรรมและได้แสดงเหตุผลอันสมควรประกอบแล้วย่อมได้รับความคุ้มครอง
แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.องค์คณะไต่สวนกลับกลั่นแกล้งกล่าวหาผู้ร้องว่า การพิจารณาสั่งคดีของผู้ร้องมีมูลเป็นความผิด ทางอาญาโดยได้สร้างหลักเกณฑ์ ข้ออ้าง ข้อกฎหมายขึ้นเอง โดยข้อเท็จจริงเหตุผล ข้ออ้างที่ใช้กล่าวหา ไม่มีระเบียบกฎหมายรองรับให้กล่าวหาผู้ร้องเช่นนั้นได้และจงใจให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้อง ซึ่งการกล่าวหาผู้ร้องว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยเหตุข้ออ้างต่างๆตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการกระทําที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องตามอําเภอใจ
5.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ เพิกถอนรายงานผลการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีมีคําสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ร้องตามคําขอให้พิจารณาวินิจฉัยข้อ 2 เสียทั้งหมด
6.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ เพิกถอนกระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการปปช.องค์คณะไต่สวนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ร้องตามคําขอให้พิจารณาวินิจฉัย ข้อ3,4 เสียทั้งหมด
นายเนตร กล่าวต่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับเรื่องของตนไว้แล้วตามขั้นตอนธุรการ น่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ในการพิจารณาว่ารับคำร้องเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยต่อหรือไม่
@ เนตร นาคสุข
นายเนตร ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำหน้าที่สอบสวนคดีของ ป.ป.ช. ว่า "จริง ๆ แล้วผมถูกลงโทษทางวินัยไปแล้วตั้งแต่ปี 2565 แต่การที่ ป.ป.ช. มาแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ ว่าทำผิดวินัยร้ายแรงอีก อาจจะเข้าข่ายแจ้งข้อกล่าวหาซ้ำหรือไม่ ซึ่งหลังจากได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาจาก ป.ป.ช. ในช่วงเดือน ก.พ.2566 ได้เข้าไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว
"เท่าที่ทราบคดีนี้ มีชื่อผู้ถูกกล่าวหากว่า 30 คน แต่ทาง ป.ป.ช.ก็มีการแสวงหาข้อเท็จจริงและมีการตัดออกบางคน ไม่รู้ว่าตอนนี้เหลืออยู่กี่คน แต่ชื่อผมยังอยู่ ซึ่งผมก็ไปชี้แจงแล้ว ว่าข้อกล่าวหาของเขานั้นมันไม่ชอบ ข้อกล่าวหาวินัยก็เป็นการแจ้งซ้ำเพราะว่าวินัยผมถูกลงโทษเด็ดขาดไปแล้ว และผมก็ดำเนินการฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย (ของคณะกรรมการอัยการ) ไปแล้ว แต่เขาก็มาแจ้งข้อกล่าวหาผมใหม่อีก เขาต้องการแกล้งผม เพราะว่าข้อหาเดิมมันเป็นข้อหาว่าผมกระทำโดยประมาท ไม่มีทางจะผิดอาญาได้ ก็เลยแกล้งผม แจ้งข้อหาผมใหม่ว่าจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้มีมูลอาญา ตามความผิดมาตรา 157” นายเนตรระบุ
นายเนตร ยังย้ำว่า การวินิจฉัยกลับไม่ฟ้องคดี นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา เป็นการดำเนินการโดยสุจริต ภายใต้ดุลยพินิจที่สามารถทำได้ หลังจากพิจารณาผลการสอบสวนของเก่าและของใหม่ พบว่ามีข้อมูลที่สอดคล้องกัน ส่วนข้อมูลใหม่จะมีปัญหาหรือไม่ ไม่ทราบ เพราะหลังจากที่วินิจฉัยไปแล้ว ขั้นตอนจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องพิจารณาสำนวนคดี
นายเนตรกล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันชีวิตไม่ได้ทำอะไร นอกจากใช้เวลาส่วนในการต่อสู้คดี ซึ่งถ้าหากว่าคำสั่งลงโทษทางวินัยร้ายแรงมีผลใช้บังคับก็จะทำให้ผมไม่ได้เงินบำนาญหลังจากเกษียณจะเดือนร้อนมาก จึงต้องเดินหน้าต่อสู้เต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับชื่อผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ ที่นายเนตร ระบุว่าถูก ป.ป.ช.ตัดชื่อออกไปแล้ว หนึ่งในนั้นมีชื่อของญาติของอดีตนักการเมืองชื่อดังรวมอยู่ด้วย