เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา 'ณรงค์ วิบูลย์มา' อดีตนายกเทศมนตรีตำบลหนองหอย เชียงใหม่ แก้ไขใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเดินทางไปปฏิบัติราชการแล้วเบียดบังไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่น ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบภาค 5 พิพากษาลงโทษจำคุก 8 ปี 30 เดือน แต่ได้รอลงอาญา 3 ปี - ป.ป.ช.ค้าน อสส.ขออุทธรณ์สู้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นายณรงค์ วิบูลย์มา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ กับพวก แก้ไขใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันเชื้อเพลิงในการเดินทางไปปฏิบัติราชการแล้วเบียดบังเงินไปเป็นของตนเองหรือของผู้อื่น ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 , 157 , 158 , 161 และ 162 (1) , (4) ประกอบมาตรา 90 และมาตรา 91 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 มีคำพิพากษาว่า นายณรงค์ วิบูลย์มา จำเลยมีความผิดตามมาตรา 147 , 157 , 158 , 161 , 162 (1) (4) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสารกระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสารรับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสารรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นเท็จ รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษฐานเป็นพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใต เบียตบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด
จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 20,000 บาท รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 20 ปี และปรับ 80,000 บาท
ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ทำให้เสียหาย ทำลายซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใด อันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้ จำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต
คงจำคุก กระทงละ 2 ปี 6 เดือน และปรับกระทงละ 10,000 บาท รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี 24 เดือน และปรับ 40,000 บาท
ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ทำให้เสียหายทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใด อันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้ คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท
รวมจำคุก 8 ปี 30 เดือน และ ปรับ 45,000 บาท
ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนและจำเลยสำนึกในการกระทำผิดให้การรับสารภาพ ประกอบกับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่เทศบาลตำบลหนองหอยครบถ้วนแล้ว
เห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี
โทษจำคุกให้รอการลงโทษ มีกำหนด 3 ปี
ทั้งนี้ คดียังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ได้พิจารณาแล้ว มีมติไม่เห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว และเห็นควรให้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 158 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใดอันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้ หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท