ป.ป.ช.ลงพื้นที่พาสิ่อตรวจสอบปัญหาออกเอกสารสิทธิที่ดินเขตวนอุทยาน ปราณบุรี เผยเตรียมใช้ภาพถ่ายทางอากาศพิสูจน์ เอกสารสิทธิ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2566 สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้จัดโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักงาน ป.ป.ช. ครั้งที่ 3 นำโดย นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายหิรัณย์เศรษฐ เหยี่ยวประยูร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 7 และนายสมศักดิ์ กรีธาธร หัวหน้าวนอุทยานปราณบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบประเด็น ปัญหาการออกเอกสารสิทธิในเขตวนอุทยานปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
โดยสำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 7 ได้รับแจ้งข้อมูลเบาะแสจากเครือข่ายภาคประชาชน ว่า ได้มีการทุจริตออกโฉนดที่ดินในเขตวนอุทยานปราณบุรีให้แก่นายทุน จำนวนนับสิบแปลง โดยอ้างว่าเป็นที่งอกซึ่งมีการออกเอกสารสิทธิไปแล้ว จำนวน 3 แปลง และอยู่ระหว่างการดำเนินการอีกหลายแปลง
ที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ติดกับบริเวณที่ตั้งสำนักงานของวนอุทยานปราณบุรี ต.ปากน้ำปราณ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีสภาพเป็นพื้นที่โล่งติดทะเล มีต้นสนอยู่บริเวณริมชายหาด
ประวัติของที่ดินดังกล่าว มีจุดเริ่มต้นปี 2496 ได้มีผู้จับจองที่ดินตั้งอยู่ปากคลองเก่า โดยแจ้งว่า ‘ขณะนั้นได้รับอนุญาตให้ครอบครองทำประโยชน์’ จากนายอำเภอปราณบุรี โดยมีหลักฐานตามใบเหยียบย่ำ เมื่อ ธ.ค. 2497 ต่อมาได้นำหลักฐานใบเหยียบย่ำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ต่อนายอำเภอปราณบุรี ปี 2510 และได้รับการออก น.ส.3 เมื่อ ส.ค. ปี 2520 โดยออกให้แก่บุตรชายผู้ขอ
แต่ข้อเท็จจริง ปรากฎว่า ใบเหยียบย่ำดังกล่าวมีสภาพชำรุด ไม่สามารถตรวจสอบตำแหน่งของที่ดินได้ อีกทั้งเมื่อนำไปออกเป็น น.ส.3 กลับปรากฎข้อเท็จจริง ว่า มีการนำตำแหน่งของแปลงที่ดินที่นำชี้ไว้เมื่อครั้งมีการประกาศเขตป่าไม้ คลองเก่า คลองคอย เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ มาใช้โดยไม่ได้มีการตรวจพิสูจน์ ถึงตำแหน่งเดิมที่มีการออกใบเหยียบย่ำ ไว้ให้และไม่ได้มีการขออนุมัติผู้ว่าฯประจวบคีรีขันธ์ ในการขอออก น.ส.3 แปลงดังกล่าว
ต่อมาปี 2527 ที่ดิน น.ส.3 ดังกล่าว ได้ถูกนำไปออกโฉนดที่ดิน จำนวน 11 แปลง (ซึ่งต่อมานำมาออกโฉนดที่ดินงอกชายทะเล จำนวน 3 แปลง) โดยถือกรรมสิทธิ์ในนามบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง และบุคคลซึ่งมีรายชื่อเป็นกรรมการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว เริ่มมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย ในชั้นของการออกโฉนดที่ดิน เนื่องจากเมื่อเดือน ก.ย. 2525 กรมป่าไม้ ได้มีการจัดตั้ง วนอุทยานปราณบุรี มีเนื้อที่ 1,984 ไร่ ซึ่งที่ดินตามหลักฐานโฉนดที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตวนอุทยานปราณบุรี
อย่างไรก็ดี ในเดือน มิ.ย. 2564 ได้มีการขอสรวมสิทธิการรังวัดออกโฉนดที่งอกซึ่งยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินที่งอกชายทะเล ไว้เมื่อ ปี 2549 จำนวน 3 แปลง โดยที่ดินดังกล่าว ผู้ขออ้างว่าเป็นที่งอกออกจากหลักฐานโฉนดที่ดินซี่งตนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิในที่ดิน ซึ่งได้มีการรังวัดไปเมื่อ ปี 2560 โดย ช่างรังวัดรายงานว่า ที่ดิน 3 แปลงดังกล่าวเป็นที่สวนปลูกสน มีอาณาเขตคาบเกี่ยวแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ ‘ป่าคลองเก่าและป่าคลองคอย’
ในวันทำการรังวัด ผู้ใหญ่บ้าน ผู้แทนนายอำเภอปราณบุรี ในฐานะผู้ปกครองท้องที่ และนายกฯ อบต.ปากน้ำปราณ ได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินงอกทั้ง 3 แปลงดังกล่าว อ้างว่าที่งอกชายทะเลมิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หากแต่เกิดจากการขุดลอกปากร่องแม่น้ำปราณ แล้วนำดินที่ขุดได้มาถมไว้จนเป็นแผ่นดินขึ้นมาซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่เอกชนได้
โดยเดือน ก.พ. 2561 สำนักงานที่ดิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ สาขาปราณบุรี ได้แจ้งเหตุคัดค้านและข้อขัดข้องให้ผู้ขอออกเอกสารสิทธิทราบ และแจ้งว่าหากประสงค์จะดำเนินการต่อไปต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้ขอจึงได้นำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองเพชรบุรี
ซึ่งศาลปกครองเพชรบุรี ได้วินิจฉัยว่า ‘ไม่ว่าที่ดินที่ผู้ฟ้องคดี ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินที่งอก จะมีตำแหน่งอยู่ในตำแหน่งที่ดินของรัฐ หรืออยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่า ‘คลองเก่าและป่าคลองคอย’ หรือไม่ เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่ดิน .ประจวบคีรีขันธ์ สาขาปราณบุรี มีหน้าที่จะต้องนำเรื่องโต้แย้งสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (กบร.ประจวบคีรีชันธ์) เพื่อพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดิน
แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่า ได้มีการมอบหมายให้ คณะกรรมการตรวจพิสูจน์ที่ดิน พิจารณา ซึ่ง คณะกรรมการฯ มีมติว่า ไม่มีการทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าว และมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อพิจารณา แล้ว ผู้ขอขาดองค์ประกอบในการยื่นขอออกโฉนดที่ดิน ผู้ขอไม่มีสิทธิออกโฉนดที่ดิน อย่างไรก็ตามเพื่อรักษา สิทธิของผู้ขอ เห็นควรนำเรื่องราวการออกโฉนดที่ดินเข้า กบร.ประจวบคีรีขันธ์
ถึงแม้ทั้ง ศาลปกครอง และคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ที่ดิน จะให้นำกรณีดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของ กบร.ประจวบคีรีขันธ์ กลับปรากฎข้อเท็จจริงว่า สำนักงานที่ดินประจวบคีรีขันธ์ ได้พิจารณาให้ความเห็นต่อผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่าผู้ขอมีความพยายามเข้าทำประโยชน์ในที่ดินแต่ถูกเจ้าหน้าที่วนอุทยานคัดค้านว่าเป็นแปลงปลูกป่าทำการขัดขวางไม่ให้เข้าทำประโยชน์ อันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปรกติที่ผู้ขอไม่อาจเข้าทำประโยชน์ในที่ดินได้จึงเห็นควรให้พิจารณาออกโฉนดที่ดินแก่ผู้ขอได้ตามความเห็นของสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาปราณบุรี
ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในขณะนั้น ได้เห็นชอบด้วยและให้ดำเนินการ ในวันที่ 29 ก.ย. 2564
อีกทั้งยังพบเจ้าพนักงานที่ดินประจวบคีรีขันธ์ สาขาปราณบุรี ได้มีการลงนามออกโฉนดที่ดินที่งอกชายทะเล จำนวน 3 แปลง เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2564 ซึ่งหลังจากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ได้มีความพยายามขอออกโฉนดที่ดินที่งอกชายทะเล ในบริเวณเดียวกันนี้ อีกหลายแปลง กรณีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้รับเรื่องไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2566 และให้เร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน เกี่ยวกับที่ดินบริเวณดังกล่าวในแปลงที่เหลือ ที่ยังมีการพยายามดำเนินการออกโฉนดที่ดิน
นายนิวัติไชย กล่าวว่า ตาม ป.ป.ช.ได้ทำการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว พบว่าในอดีตพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตป่าทั้งหมด ประมาณ 1,900 ไร่ แต่ทำไมปัจจุบันมันหดตัวลงเป็นวนอุทยานเหลือประมาณ 900 ไร่ ดังนั้นเขตที่อยู่อาศัยน่าจะไม่ใช่ที่ทำกินของประชาชน เพราะมันเป็นป่ามาตลอด เมื่อมีการออกเอกสารสิทธิแกประชาชน โดยอ้างว่าเป็นผู้ที่ทำมาหากินอยู่ในพื้นที่ เช่น ทำการประมง ปลูกต้นไม้ ก่อนที่จะมีการเขตป่า หรืออุทยาน ก็ต้องมีการตรวจพิสูจน์ว่าใช่หรือไม่
ปัจจุบันทางกรมที่ดินจะมีออกเอกสารสิทธิไปแล้ว แปลว่ากรมที่ดินรับฟังคนข้างเคียงแล้วว่าเป็นที่ดินเดิมของชาวบ้านมาก่อน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นจริงตามที่กรมที่ดินออกเอกสิทธิให้หรือไม่ นายนิวัติไชย ระบุ
นายนิวัติไชย เกษมมงคล
นายนิวัติไชย กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าว สามารถวิเคราะห์ได้ โดยอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศ และย้อนกลับไปดูที่ดินในอดีต ปีนั้น ๆ ว่าเดิมแล้วสภาพที่ดินเป็นอย่างไร ของเดิมที่อยู่ก่อนที่จะเป็นวนอุทยานอยู่ก่อน หรือหลัง เพราะฉะนั้น จะต้องไปพิสูจน์ว่าถ้า มีการทำมาหากินมาก่อน เช่นมีการปลูกต้นไม้ ภาพถ่ายทางอากาศจะชี้แสดงให้เห็นบริเวณที่เข้าอ้างทันที ซึ่งจะพิสูจน์ไดัว่า ความจริงที่เขาแสดงสิทธินั้น ชอบ หรือ มิชอบ
เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าว ป.ป.ช. เจอบ่อยหรือไม่
นายนิวัติไชย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าว ทาง ป.ป.ช. พบเห็นบ่อยครั้ง และได้มีการชี้มูลเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งเอกชนที่มีการขอเอกสารสิทธิมิชอบ โดยที่ผ่านมามีกรณีแบบนี้เกิดขึันในหลายจังหวัด เช่น ภูเก็ต นครราชสีมา ปากช่อง
เมื่อถามว่า กระบวนการต่อไปจะทำอย่างไร
นายนิวัติไชย กล่าวว่า ขณะนี้เอกสารได้มาเพียงพอแล้ว เดี๋ยวหลังจากลงพื้นที่เสร็จ จะทำรายงานวิเคราะห์และส่งไปวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งอาจจะใช้เวลาหลายเดือน
เมื่อถามว่า ประเด็นดังกล่าวจะมีเจ้าหน้าที่รัฐ มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น
นายนิวัติไชย กล่าวว่า จากการสันนิษฐานในเบื้องต้น กรณีนี้อาจมีความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็น และหากพบว่าเจ้าหน้าที่มีส่วนช่วยในการกระทำความมิชอบหรือรู้อยู่แล้ว ก็อาจเข้าข่ายกระทำความมิชอบด้วยกฏหมาย ซึ่งต้องมีการพิสูจน์ในข้อเท็จจริงว่าผิดหรือถูก ต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย
เมื่อถามถึง ประเด็นเรื่องเอกสารสิทธิที่ดิน ที่ออกมาแล้วนั้น จะต้องมีการตรวจสอบว่าก่อนหน้านี้ มีการออกเอกสารสิทธิอย่างถูกต้องหรือไม่นั้น
นายนิวัติไชย กล่าวว่า ระบุว่า มี 2 กรณี คือ สำหรับที่ดินแปลงแรกที่ออกเอกสารสิทธิ (บริเวณที่ไม่ใช่แปลงที่ดินงอก) ได้หมดอายุความแล้ว เพราะมีอายุเกินกว่า 20 ปี รวมถึงเจ้าหน้าที่ ที่ดำเนินการออกเอกสารให้ ขาดอายุความแล้ว ส่วนประเด็นที่ ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินปัจจุบัน จะขอออกเอกสารสิทธิที่ดินเพิ่มเติม หรือที่ดินงอกจากแปลงเดิมนั้น ต้องดำเนินการตรวจสอบจากหลักฐานแปลกที่งอกว่า เอกสารสิทธิฉบับเดิม ได้มาอย่างถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และถ้ามีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินงอกอย่างไม่ถูกต้อง ก็ต้องไปดูว่าเจ้าหน้าที่มีเจตนารู้หรือไม่รู้ ว่าที่ดินแปลงเดิมนั้นออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้น และหากผลปรากฏว่าไม่ชอบและเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการออกเอกสารสิทธิจะถือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติ หน้าที่โดยไม่ชอบ สำนักงาน ป.ป.ช.จะต้องวินิจฉัยส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องต่อศาล พร้อมกับยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนการออกเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ชอบนั้นต่อศาลด้วย