ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ให้ "ป.ป.ช." ส่งรายงานการไต่สวนคดี นาฬิกาประวิตร ให้กับ"วีระ สมความคิด" ภายใน 15 วัน ชี้ชัดหลังจากคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารมีคำสั่ง ข้อมูลก็ไม่ใช่ความลับแล้ว ดังนั้นอุทธรณ์ ป.ป.ช.ฟังไม่ขึ้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าในวันที 21 เม.ย. ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีที่นายวีระ สมความคิด ผู้ฟ้องคดี กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ถูกฟ้องคดี 1 และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยื่นฟ้องขอให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการที่เกี่ยวข้องกับกรณีการกล่าวหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
โดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแล้วเห็นว่าการที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 รายการที่ 2 เฉพาะความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เสนอ ประกอบการพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และรายการที่ 3 ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ตามคําวินิจฉัยของ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการ บังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 333/2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ภายใน 15 วัน นับแต่ วันที่คดีถึงที่สุด นั้น
ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยบางส่วน พิพากษาแก้คําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ ตามคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 333/2562 แก่ผู้ฟ้องคดี ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษา
อนึ่งคดีนี้นายวีระ สมความคิด ผู้ฟ้องคดี กับสำนักงาน ป.ป.ช.เป็นผู้ถูกฟ้องคดี 1 และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กรณีกล่าวหาว่า สำนักงาน ป.ป.ช.ละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย ภายหลังคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ มีคำวินิจฉัยให้สำนักงาน ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร คดีกล่าวหา พล.อ.ประวิตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือไม่ หรือที่รู้จักกันในคดี “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” โดยให้เปิดเผย 3 รายการ ได้แก่ 1.รายการการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมด 2.ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ทุกคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ 3.รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สำนักงาน ป.ป.ช.เพิกเฉย นายวีระจึงนำคดีนี้มาฟ้อง
ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช.มีคำอุทธรณ์คดี ระบุว่าหากเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตาม คําขอของผู้ฟ้องคดีแล้ว ผู้เปิดเผยจะมีโทษตามมาตรา 180 แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 20 บัญญัติว่า การเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารใดแม้จะเข้าข่ายต้องมีความรับผิดตามกฎหมายใด ให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ต้องรับผิดหากเป็นการกระทําโดยสุจริตในกรณีดังต่อไปนี้ (1) ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดําเนินการโดยถูกต้องตามระเบียบตามมาตรา 16... พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 36 วรรคสาม บัญญัติว่า ห้ามมิให้มีการเปิดเผยหรือเผยแพร่ข้อมูลรายงานและสํานวนการตรวจสอบ การสอบสวน การไต่สวน หรือการไต่สวนเบื้องต้น รวมทั้งบรรดาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ สอบสวน ไต่สวน หรือไต่สวนเบื้องต้นที่อยู่ระหว่างการดําเนินการจนกว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะได้พิจารณาและมีมติในเรื่องดังกล่าวแล้ว
เว้นแต่จะเป็นการเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการไต่สวน หรือไต่สวนเบื้องต้นทั้งนี้ ให้ถือว่าเป็นความลับของทางราชการ มาตรา 180 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ผู้ใดเปิดเผยข้อความ ข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงาน เจ้าหน้าที่ได้มาเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ต้องระวาง โทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ตามมาตรา 36 ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ.2544 ข้อ 24 กําหนดว่า ข้อมูลข่าวสารลับที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารมีคําวินิจฉัยให้เปิดเผยโดยไม่มีข้อจํากัดหรือเงื่อนไขใด ให้ถือว่าข้อมูลข่าวสารนั้นถูกยกเลิกชั้นความลับแล้ว เว้นแต่มีการฟ้องคดีต่อศาลและศาลมีคําสั่งหรือคําพิพากษาเป็นอย่างอื่น คดีนี้ เมื่อการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารตามคําขอของผู้ฟ้องคดี เป็นการเปิดเผยข้อมูลหลังจากที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้พิจารณาและมีมติในเรื่องดังกล่าวแล้วว่าไม่รับเรื่องไว้ดําเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง
ประกอบกับ กรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารมีคําวินิจฉัยให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยไม่มีข้อจํากัดหรือเงื่อนไข อันมีผลให้ข้อมูลข่าวสารนั้นถูกยกเลิก ชั้นความลับแล้วตามข้อ 24 ของระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2554 ซึ่งหากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยสุจริตและถูกต้องตามระเบียบดังกล่าว ก็ไม่ต้องมีความรับผิดและมีโทษตามกฎหมายใด ๆ รวมถึงมาตรา 180 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย ทั้งนี้ ตามมาตรา 20 (1) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 อุทธรณ์ข้อนี้ ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ส่วนอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองที่อ้างคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดง อร. 24/2564 มาเทียบเคียงนั้น เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีในคดีดังกล่าวได้ขอ ข้อมูลข่าวสารของราชการในขณะที่การไต่สวนยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งศาลเห็นว่า หากเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารตามที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอแล้ว จะทําให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่อาจ สําเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีดุลพินิจที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้ ตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
ในขณะที่ผู้ฟ้องคดีในคดีนี้ได้ขอข้อมูลข่าวสารเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้พิจารณาและมีมติแล้วว่า ไม่รับเรื่องไว้ดําเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว จึงเป็นเรื่องที่มีข้อเท็จจริงต่างกัน อุทธรณ์ของ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่อาจรับฟังได้
การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 รายการที่ 2 เฉพาะความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เสนอ ประกอบการพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และรายการที่ 3 ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ตามคําวินิจฉัยของ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการ บังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 333/2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ภายใน 15 วัน นับแต่ วันที่คดีถึงที่สุด นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยบางส่วน
ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาแก้คําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ ตามคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 333/2562 แก่ผู้ฟ้องคดี ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษา