ป.ป.ช.ภาค 9 ชี้มูลอดีต 'นพรัตน์' อดีตผอ.สำนักพุทธ เบียดเบียนเงินอุดหนุนวัดชายแดนใต้ 65 แห่ง 93 ล้าน ชี้พฤติการณ์ชัดเจนทำเรื่องเบิกเงินสร้างวัดโดยไม่ผ่านกระบวนการพิจารณา ก่อนจะถอนเงินออกเข้ากระเป๋าผู้ร่วมขบวนการ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค 9 ได้เผยแพร่เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับคดีที่ ป.ป.ช.ได้มีการชี้มูล 1 คดีเป็นคดีเกี่ยวกับการเบียดบังเงินอุดหนุนในโครงการบูรณะวัดในพื้นที่ชายแดนใต้ มีใจความว่า
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูล 14 พฤศจิกายน 2565 และส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด
ผู้ถูกกล่าวหา นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพวก
ข้อกล่าวหา ร่วมกันเบียดบังเงินอุดหนุนในโครงการบูรณปฏิสังขรณ์และการพัฒนาวัด (ชายแดนภาคใต้) ปีงบประมาณ 2557 ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวม 65 วัด งบประมาณรวม 93,339,100 บาท (เก้าสิบสามล้านสามแสนสามหมื่นเก้าพันหนึ่งร้อยบาทถ้วน)
สรุปพฤติการณ์การกระทำความผิด
เมื่อปีงบประมาณ 2557 ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1, 6 ,11 และ 12 ได้ไปติดต่อเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ใน 5 จังหวัดชายแดนใต้โดยตรงโดยผ่านพระผู้ใหญ่ในอำเภอหรือจังหวัดนั้นๆ ว่าจะทำการโอนเงินงบประมาณโครงการอุดหนุนการปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัดให้แก่วัดดังกล่าว และเมื่อได้รับแล้วจะ เงินทอนคืนบางส่วน (ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์) ให้วัดส่งมอบคืนตามเลขที่บัญชีธนาคารของผู้กล่าวหาที่ 10 เพื่อนำไปใช้ในกิจการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ได้ตกลงด้วย
โดยวัดมิได้มีการจัดทำคำขอรับการจัดสรรเงินอุดหนุนตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกำหนดไว้ แต่อย่างใด หลังจากนั้น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ได้จัดทำเอกสารบันทึกข้อความ ขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวดให้ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ลงลายมือชื่อรับรอง เสนอต่อให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ทำการอนุมัติ
โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 – 3 ทราบดีว่าวัดต่าง ๆ มิได้จัดทำคำขอรับจัดสรรเงินอุดหนุนการปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัดตามหลักเกณฑ์ ที่กำหนดและไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองของคณะทำงานพิจารณาการขอรับเงินสนับสนุนงบประมาณเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัดประจำปีงบประมาณ 2557 เมื่อวัดต่าง ๆ ได้รับเงินอุดหนุน เข้าบัญชีวัดแล้ว จากนั้น 2 - 3 วัน วัดได้ถอนเงินจากบัญชีธนาคารของวัด รวม 60 วัด (5 วัดไม่ทอน) เป็นจำนวนเงินประมาณ 70 ล้านบาท โอนเข้าบัญชีของผู้ถูกกล่าวหาที่ 10 และผู้ถูกกล่าวหาที่ 10 จะโอนเข้าบัญชีของบุคคลใกล้ชิดของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 หรือซื้อดร๊าฟหรือแคชเชียร์เช็คในชื่อบุคคลใกล้ชิด ได้แก่ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 ,9 และ 13 เพื่อให้บุลคลใกล้ชิดดังกล่าวถอนเงินไปส่งมอบให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 โดยที่ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะเดินทางมารับเป็นเงินสดที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็น ของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 151, 157 และ 162 (4) ประกอบมาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวเพิ่มเติมว่าอย่างไรก็ตามในเอกสารข่าวแจกของ ป.ป.ช.ไม่ปรากฎชื่อผู้ที่ถูกชี้มูลรายอื่นนอกเหนือจากนายนพรัตน์แต่อย่างใด