DSI สรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ กลุ่มบุคคลสนับสนุนเจ้าพนักงานออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบ 33 แปลง 200 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอ่าวนาง - ป่าหางนาค จ.กระบี่ แล้ว ลอตแรก 15 คดี หลังออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา 23 ราย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 17 ก.พ. กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ได้ออกเอกสารข่าวแจกมีใจความว่า คณะพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สรุปสำนวนคดีพิเศษ ส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ กรณีกลุ่มบุคคลและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เข้าไปบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอ่าวนาง ป่าหางนาค ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ และมีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และบางรายในความผิดฐานยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ
กรณีดังกล่าว เป็นเรื่องสืบเนื่องจากคดีพิเศษที่ 71/2550 ซึ่งคณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติให้รับกรณีมีกลุ่มบุคคลบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอ่าวนาง ป่าหางนาค โดยมีการออกหนังสือแสดงสิทธิโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 51 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ ในเขตพื้นที่ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เป็นคดีพิเศษที่จะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยต่อมาคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าโฉนดที่ดิน จำนวน 33 แปลง เนื้อที่ประมาณ 97-3-10 ไร่ ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากที่ดินเป็นที่เขาหรือภูเขา และไม่มีลักษณะการทำประโยชน์มาก่อน อีกทั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ การกระทำของเจ้าหน้าที่กรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้ดำเนินการขีดเขตและรับรองแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่กรมที่ดินผู้เกี่ยวข้องในการออกโฉนดที่ดิน จำนวน 6 ราย จึงเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และยังมีบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ยื่นคำขอและนำเจ้าพนักงานที่ดินเดินสำรวจเพื่อออกโฉนดที่ดินได้ร่วมกระทำการกับเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งคดีอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาไต่สวน และได้มีการส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ต่อมาได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ ซึ่งคณะทำงานร่วมฯ ได้มีความเห็นถึงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในส่วนของบุคคลที่เกี่ยวข้องในฐานะผู้ใหญ่บ้านและราษฎรที่ยื่นคำขอและนำเจ้าพนักงานที่ดินเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน 33 แปลง รวม 23 รายด้วย ว่าน่าจะเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานในการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 จึงให้แจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการ
โดยเห็นควรส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงรับกรณีนี้ไว้เป็นคดีพิเศษที่ 7/2562 และเนื่องจากพฤติการณ์ของแต่ละรายไม่ได้กระทำความผิดร่วมกัน ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้อนุมัติให้แยกสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าวออกไปอีก จำนวน 22 คดี
จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานคดีที่กล่าวมาข้างต้น คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอรับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ใหญ่บ้านและราษฎรที่ยื่นคำขอและนำเจ้าพนักงานที่ดินเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินดังกล่าว เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 , 157 ประกอบมาตรา 86 และบางรายในความผิดฐานยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 และประมวลกฎหมายที่ดินอีกด้วย จึงได้ออกหมายเรียกตัวผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 23 ราย มารับทราบข้อกล่าวหา และจากการตรวจสอบสถานะและที่อยู่บุคคลในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ พบว่ามีผู้ต้องหาได้ถึงแก่ความตายแล้ว จำนวน 2 ราย ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้สรุปสำนวนการสอบสวนเสนอหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษผู้รับผิดชอบ และได้มีการส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการแล้ว จำนวน 15 คดี อยู่ระหว่างเรียกตัวผู้ต้องหามาพบเพื่อนำตัวพร้อมสำนวนให้กับพนักงานอัยการ จำนวน 4 คดี และยังอยู่ระหว่างสอบสวนเพิ่มเติม จำนวน 4 คดี