ศาลฯนัดอ่านคำพิพากษา ‘ศาลฎีกา’ คดียักยอกทรัพย์ ‘PICNI’ 25 ม.ค.นี้ หลังปี 63 ‘ศาลอุทธรณ์’ สั่งจำคุก ‘สุเทพ-ภาณุวรรณ-สนธยา’ 12 ปี ปรับคนละ 1,422-1,522 ล้าน พร้อมปรับ ‘สีลม แอดไวเซอรี่’ 1,422 ล้าน ส่วน ‘แอสเซ็ท มิลเลี่ยน’ ถูกปรับ 1,522 ล้าน
...................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในวันที่ 25 ม.ค.นี้ ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องนายสุเทพ อัคควุฒิไกร ,นายภาณุวรรณ เลิศวิเศษ ,บริษัท สีลม แอดไวซอรี่ เซอร์วิส จำกัด,นายสนธยา น้อยเจริญ ,นายธรรมนูญ ทองลือ ,หม่อมหลวงชัยภัทร ชยางกุร ,บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด และนางวันดี โตเจริญ เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับคดีนี้ เมื่อปี 2557 พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 8 กับนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน และพวกอีกหลายคน เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1396/2557 โดยฟ้องว่าจำเลยฯ ได้ร่วมกันสนับสนุน ช่วยเหลือ และกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันยักยอกหุ้นบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ของบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PICNI มูลค่า 711 ล้านบาท และร่วมกันยักยอกเงินของ PICNI จำนวน 50 ล้านบาท
ต่อมาในปี 2562 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1396/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1594/2562 ลงวันที่ 25 มิ.ย.2562 ยกฟ้องจำเลยทั้ง 8 ส่วนนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน และพวกอีกหลายคนได้หนีคดี
อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์ฯ และต่อมาศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 954-956/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 12833-12835/2563 ลงวันที่ 21 ส.ค.2563 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 (นายสุเทพ อัคควุฒิไกร) และที่ 2 (นายภาณุวรรณ เลิศวิเศษ) จำคุก 12 ปี และปรับคนละ 1,522,000,000 บาท ,จำเลยที่ 3 (บริษัท สีลม แอดไวซอรี่ เซอร์วิส จำกัด) ปรับ 1,422,000,000 บาท
จำเลยที่ 4 และที่ 7 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 313 ประกอบมาตรา 308 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น ให้จำคุกจำเลยที่ 4 (นายสนธยา น้อยเจริญ) กระทงแรก 6 ปี และปรับ 1,422,000,000 บาท จำคุกกระทงที่สอง 6 ปี และปรับ 100,000,000 บาท รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี และปรับ 1,522,000,000 บาท และลงโทษปรับจำเลยที่ 7 (บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด) สองกระทงปรับ 1,522,000,000 บาท
หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับได้เกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี หากจำเลยที่ 3 และที่ 7 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ทั้งนี้ จำเลยฯได้ยื่นฎีกาคำพิพากษา ซึ่งศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวในวันที่ 25 ม.ค.2566 เวลา 9.00 น. หลังจากสู้คดีกันมาเกือบ 9 ปี
อ่านประกอบ :
ศาลสั่งอดีตบิ๊กปิคนิค พี่ชาย“สุริยา” รมช.พาณิชย์ยุคแม้วล้มละลาย