ป.ป.ช.ตรัง แถลงมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ชี้มูลขรก.เทศบาลนครตรัง-เอกชน 8 ราย คดีตรวจรับงานกำจัดขยะทุ่งแจ้ง งบ 6.4 ล้าน ไม่เป็นไปตามสัญญา ฝังกลบใช้ดินผสมหินผุแทนลูกรัง แต่ตรวจรับมอบงานจ่ายเงินถูกต้อง โดนฟันอาญา-สั่งชดใช้ค่าเสียหายด้วย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2565 ที่โรงแรมอีโค่อินน์ จ.ตรัง นายราม วสุธนภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง พร้อมด้วย นายยุทธนา วิมลเมือง เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต ชำนาญการพิเศษ และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.ตรัง ได้รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหา กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐสังกัดเทศบาลนครตรัง ควบคุมงานและตรวจรับงานโครงการจัดการขยะและฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาล ตามสัญญาจ้างเลขที่ 27/2558 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นเงินจำนวน 6,460,000 บาท ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
จากการไต่สวนเบื้องต้นปรากฏว่า กิจการร่วมค้า เอสซีที เบสท์ ฟาเบอร์ ผู้รับจ้าง ได้ใช้ดินผสมหินผุในการฝังกลบขยะ ณ สถานที่กำจัดขยะทุ่งแจ้ง โดยไม่ได้ใช้ดินลูกรังตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจนแล้วเสร็จ โดยผู้ควบคุมงานได้บันทึกในหนังสือส่งมอบงานของผู้รับจ้าง งวดที่ 1 - งวดที่ 5 ถึง ประธานกรรมการตรวจการจ้าง ว่าผู้รับจ้างได้ทำการฝังกลบขยะพร้อมกลบดินลูกรังบดอัดจนแล้วเสร็จ ทั้งที่ผู้รับจ้างใช้ดินผสมหินผุในการกลบขยะไม่ได้ใช้ดินลูกรังตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแต่อย่างใด ซึ่งต่อมาคณะกรรมการตรวจการจ้าง ได้ตรวจรับงานงวดที่ 1 - งวดที่ 5 ที่ผู้รับจ้างส่งมอบว่า ผู้รับจ้างได้ทำการฝังกลบขยะเสร็จเรียบร้อย ถูกต้อง ครบถ้วน ตามสัญญาทุกประการ ทั้งที่ผู้รับจ้างฝังกลบบ่อขยะด้วยดินผสมหินผุ เป็นเหตุให้เทศบาลนครตรังเบิกจ่ายเงินให้กับผู้รับจ้าง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 104/2565 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
1. นายไพโรจน์ ทองคำ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นายยงยุทธ เบญจวรางกูล ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และนายสมหมาย ยอดเพชร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการตรวจการจ้าง นายสรณะ สุทธินนท์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมงาน โครงการจัดการขยะและฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาล ณ สถานที่กำจัดขยะทุ่งแจ้ง ว่ามีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 (1) และ (4) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบาย ของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาล จังหวัดตรัง เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการการอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ พ.ศ.2544 ข้อ 6 วรรคสอง
2. กรณีกิจการร่วมค้า เอสซีที เบสท์ ฟาเบอร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 นายศิวัช เขี้ยวแก้ว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 และนายฐานวัฒน์ อัครสุภาเศรษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 (1) และ (4) ประกอบมาตรา 86
สำหรับ นายประหยัด คงเอียด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 ได้ถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติรับเรื่องไว้พิจารณา ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ เนื่องจากถึงแก่ความตายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1)
สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรัง ได้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี กับนายไพโรจน์ ทองคำ นายยงยุทธ เบญจวรางกูล นายสมหมาย ยอดเพชร นายสรณะ สุทธินนท์ กิจการร่วมค้า เอสซีที เบสท์ ฟาเบอร์ นายศิวัช เขี้ยวแก้ว และนายฐานวัฒน์ อัครสุภาเศรษฐ์ และส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย กับนายไพโรจน์ ทองคำ นายยงยุทธ เบญจวรางกูล นายสมหมาย ยอดเพชร นายสรณะ สุทธินนท์ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณี ต่อไป
ทั้งนี้ ให้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป
อย่างไรก็ตามการไต่สวนคดีอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด