โฆษก กห.ยันกองทัพไทยพร้อมช่วยเหลือผู้ลี้ภัยตาม มาตรา 13 พ.ร.บ.อุ้มหาย หลัง กม.มีผลบังคับใช้ปลายเดือน ก.พ.นี้ ชี้ที่ผ่านมาดำเนินการส่งผู้ลี้ภัยกลับขึ้นอยู่กับความสมัครใจ เผยที่ผ่านมามีกระบวนการดูแลผู้ลี้ภัยอยู่แล้ว แค่ไม่แถลงให้ ปชช.ทราบ
สืบเนื่องจากที่เนติบัณทิตยสภานานาชาติได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับมาตราที่ 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายหรือที่มีชื่อย่อว่า พ.ร.บ.อุ้มหาย ซึ่งกฎหมายดังกล่าวเพิ่งจะมีการประกาศลงราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 25 ต.ค. และจะมีผลบังคับใช้จริงใน 23 ก.พ. 2566
โดยข้อกังวลนี้รวมไปถึงในประเด็นเรื่องความพร้อมและการปฏิบัติหน้าที่ของทหารไทยที่ประจำอยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งอาจจะไม่ได้ปฏิบัติตามมาตราที่ 13 เพราะว่าที่ผ่านมานั้นยังพบเห็นกรณีที่ทหารไทยได้ส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมากลับไปยังประเทศ ด้วยข้อสรุปว่าประเทศเมียนมานั้นไม่มีอันตรายแล้ว สามารถส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับได้
สำหรับมาตราที่ 13 ที่ว่านี้ระบุว่า "ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย"
ล่าสุด พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ถึงกรณีดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่กองทัพมีหลักปฏิบัติเรื่องการดูแลผู้ที่ลี้ภัยอยู่แล้ว คือต้องชี้แจงก่อนว่าผู้ลี้ภัยที่เขาหนีภัยมาอยู่ประเทศไทยนั้น หลายคนพอเห็นว่าพื้นที่ของเขาสงบ เขาก็อยากจะกลับไปยังบ้านของเขาอยู่แล้ว ซึ่งทางการไทยที่ผ่านมาเราก็ดูแลคนที่ลี้ภัยเข้ามา แม้แต่คนที่เจ็บ เขาก็ได้รับการรักษาโรงพยาบาลในฝั่งของประเทศไทย เราดูแลเขาทั้งหมดทั้งที่พัก ทั้งเรื่องการกิน ที่อยุ่อาศัย พอเสร็จแล้วเราก็ไปดูฝั่งนู้นว่ามันสงบหรือยัง ถ้ามันสงบพอกลับได้ เราก็ถามเขาว่าอยากจะกลับไปไหม ถ้าอยากกลับ เราก็ทยอยเอาเขากลับ มันจะเป็นในลักษณะแบบนี้
โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวต่อไปว่าสำหรับกฎหมายที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือน ก.พ. หน้าที่ของกองทัพก็คือต้องทำตามกฎหมายนี้ อันที่จริงแล้วต้องขอเรียนว่าทางกระทรวงกลาโหมได้ให้การสนับสนุนกฎหมายนี้มาโดยตลอด เพราะการจะออกจะออกกฎหมายนั้นก็ต้องมีหนังสือมาถึงกระทรวงกลาโหมด้วยเช่นกัน และที่ผ่านมากระทรวงก็ได้มีการทำหนังสือไปถึงคนของเราว่าเราสนับสนุนให้มีกฎหมายนี้เกิดขึ้น ประเด็นถัดมาก็คือว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็กำชับให้ทุกเหล่าทัพถือปฏิบัติและใช้กฎหมายนี้
"คือเรื่องนี้บางทีคนที่ไม่อยู่หน้างานก็ไม่รู้ คนที่เข้ามาอยู่นั้นพอมาถึงจุดหนึ่งเขาก็อยากกลับ ซึ่งเมื่อเขาเข้ามา เราก็ดูแลเขา บางทีก็ต้องพาขึ้นรถ พาเข้าเมืองเพื่อไปรับการรักษาพยาบาล ไปรับการผ่าตัด นี่คือสิ่งที่เราทำ แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้ฉายภาพให้ประชาชนได้เห็น" พล.อ.คงชีพกล่าว
พล.อ.คงชีพกล่าวต่อไปว่าส่วนที่นานาชาติเขากังวลว่ากองทัพอาจจะไม่พร้อมเรื่องการบังคับใช้กฎหมายนั้น ต้องขอเรียนว่าที่ผ่านมากองทัพเคยประกาศต่อสาธารณชนไปแล้วว่าสนับสนุนให้มีกฎหมายฉบับนี้ ส่วนเรื่องการบังคับใช้เมื่อกฎหมายประกาศนั้น เราได้ให้คนของเราไปทำความเข้าใจ โดยให้กรมพระธรรมนูญไปศึกษาทำความเข้าใจเรื่องนี้ แล้วนำข้อบังคับของกฎหมายไปทำความเข้าใจกับทุกหน่วยงานเพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันได้เพราะว่าเคยมีการประชุมที่สภากลาโหมก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าในช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้นั้น กองทัพจะพร้อมสำหรับการใช้กฎหมายนี้อย่างแน่นอน